ทุบโต๊ะค่าเงินบาทหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ

  • “ลอมบาร์ด โอเดียร์” ทุบโต๊ะค่าเงินบาทหลุด 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
  • เฟดลดดอกเบี้ย 2 รอบ 0.50% แบงก์ชาติหั่นดอกเบี้ยตาม
  • ช้ีบาทแข็งมีดีต่อไทยในระยะยาวหากนำเงินไปลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน-อีอีซี

นายโฮมิน ลี นักกลยุทธ์ เศรษฐกิจมหภาค ลอมบาร์ด โอเดียร์ เปิดเผยในงานสัมมนา “Kbank Private Banking : Mid-year Economic Outlook 2019 ว่า Lombard” ว่า ค่าเงินบาทของไทยมีแนวโน้มแข็งค่าหลุดระดับ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และปลายปีนี้ค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นอีก 2-3 % (29.89-29.59 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) เป็นผลจากปีนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ปรับลดดอกเบี้ย 2 รอบๆละ 0.25 % ครั้งแรกเกิดขึ้นในการประชุมเดือนก.ค.-ก.ย.นี้ และอีกรอบระหว่างเดือนก.ย.-ธ.ค.62 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ยหลังจากเฟดปรับลดดอกเบี้ย

“การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ มีเงินไหลเข้าไปลงทุนในตลาดเกิดใหม่ทั้งในหุ้น และตราสารหนี้ เนื่องจากผลตอบแทนในสหรัฐจะปรับลดลง นักลงทุนจะเริ่มแสวงหาผลตอบแทนที่มากกว่า”

ทั้งนี้ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคส่งออก แต่เมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งค่าเงินก็แข็งค่าขึ้นเช่นกัน อีกทั้งประเทศไทยมีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง ไม่ได้ส่งออกไปยังสหรัฐฯเพียงแห่งเดียว แต่ส่งออกไปยังเอเชีย และตลาดเกิดใหม่  ที่สำคัญค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะส่งผลดีต่อไทย นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ  และลงทุนด้านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งการลงทุนดังกล่าวนั้นจะทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตแข็งแกร่งในระยะยาว   

ด้านนายสเตฟาน โมเนียร์ ผู้บริหารงานการลงทุนระดับสูง ลอมบาร์ด โอเดียร์ ไพรเวทแบงก์ กล่าวว่า ลอมบาร์ดมองว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มีโอกาสยุติภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้า 70-80 % เนื่องจากในปัจจุบันภาคการเกษตรของสหรัฐฯ ไม่สามารถส่งสินค้าไปยังประเทศจีนได้ จึงได้รับผลกระทบหนัก ดังนั้นเมื่อสงครามการค้ายุติ ก็มีเงินลงทุนไหลเข้ามายังตลาดเกิดใหม่รวมถึงประเทศไทย ขณะที่ 20-30 % มองว่าสงครามการค้าไม่ยุติ นักลงทุนวิ่งเข้าหาการลงทุนสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ พันธบัตรรัฐบาล และเงินเยนของญี่ปุ่น 

“เศรษฐกิจโลกในช่วงที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะสุดท้ายของเศรษฐกิจที่เติบโต สงครามการค้าได้ข้อบรรลุ เฟดผ่อนคลายตลาดด้วยการปรับลดดอกเบี้ย บทบาทของเทคโนโลยีที่จะช่วยเข้ามาประคองเศรษฐกิจในระยะต่อไป”

ทั้งนี้มุมมองของการจัดพอร์ตลงทุน ลอมบาร์ดกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม และจัดพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น 40 % ของเงินลงทุน ไปไปลงทุนในหุ้น อีก 40% ลงทุนในหุ้นกู้ หรือ พันธบัตร  และสุดท้ายคือ 20% ลงทุนในทองคำ ซึ่งที่ผ่านมา พบว่า ราคาทองคำปรับเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง และเมื่อมีเหตุการณ์มากระทบต่างๆ ทองจะเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และสร้างจุดสมดุลให้กับพอร์ตได้อย่างเหมาะสม