ทอท.ร่ายมนตร์ยาวเยียด โชว์ข้อดีการรับโอน 3 สนามบิน “กระบี่-อุดรธานี-บุรีรัมย์” มาสู่อ้อมอก

ทอท.ร่ายมนตร์ยาวเยียด โชว์ข้อดีการรับโอน 3 สนามบิน “กระบี่-อุดรธานี-บุรีรัมย์” ลดการลงทุนสนับสนันจากรัฐกว่า 4-5 พันล้านบาท/ปี แถมยังปั้นรายได้ให้แผ่นดินกว่า 5 หมื่นล้าน พร้อมเดินหน้าดึงดูดสายการบิน ผู้โดยสาร เคาะโปรโมชั่นลดค่าธรรมเนียมกว่า 95%

นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ ทอท. รับบริหารจัดการ 3 ท่าอากาศยานได้แก่ สนามบินกระบี่ สนามบินอุดรธานี และ สนามบินบุรีรัมย์ว่า การรับโอน 3 สนามบินดังกล่าว เนื่องจากเป็นยุทธศาสตร์การขนส่งทางอากาศของกระทรวงคมนาคมเพื่อพัฒนาศูนย์กลางการบินของประเทศ (Hub) เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือจากสนามบินอุดรธานีไปยัง สปป.ลาว-และไปยังเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ จากสนามบินบุรีรัมย์ไปยังกัมพูชา ซึ่งสอดรับกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการเห็นการเชื่อมต่อระบบขนส่งในรูปแบบเกทเวย์ต้อนรับการเดินทางจากประเทศเพื่อนบ้าน ทอท.เชื่อว่าหากการรับมอบ3สนามบินมาบริหารภายใต้ระยะเวลาของสิทธิ์การบริหาร 30 ปี จะสามารถสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลประมาณ  49,000-50,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นผลตอบแทนคืนในรูปแบบภาษีและเงินปันผลตามสัญญาที่รัฐกำหนด

นอกจากนั้นกระทรวงคมนาคมยังได้เห็นถึงความพร้อมของ ทอท. ที่ปัจจุบันในช่วงก่อนโควิดระบาดในปี 62 ทอท.ถือครองสัดส่วนการให้บริการผู้โดยสารทางอากาศอยู่มากถึง 85% ด้วยปริมาณผู้โดยสารมาใช้บริการสูงสุดกว่า 142 ล้านคน/ปี ขณะที่สนามบินในความรับผิดของกรมท่าอากาศยาน (ทย.) มีสัดส่วนที่ 12% ที่เหลือเป็นสัดส่วนของสนามบินภายใต้ความรับผิดชอบของ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ประกอบกับ ทอท.มีความพร้อมทางการเงินลงทุน ด้วยข้อได้เปรียบของศักยภาพในการควบคุมดีมานต์จึงทำให้ ทอท. สามารถให้สิทธิประโยชน์ (Incentive) เพื่อจูงใจในการเดินทางและเพิ่มปริมาณผู้โดยสารที่สนามบินปลายทางได้ ซึ่งล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการ ทอท.เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ได้มีมติเห็นชอบให้สิทธิพิเศษลดค่าธรรมเนียมลง 95% ในปีแรกของสายการบินใหม่ๆที่มาทำการบินในสนามบินของ ทอท.

สำหรับค่าบริการในการขึ้นลงของอากาศยาน (Landing Charge) และค่าบริการที่เก็บอากาศยาน (Parking Charge)  ให้กับสายการบินใหม่ที่จะทำการเปิดเส้นทางใหม่มายังสนามบินของ ทอท. ถือเป็นความร่วมมือของสนามบินกับสายการบิน โดยใช้ค่าธรรมเนียมบริการสนามบินมาทดแทนรายได้ที่ขาดหายไปดังกล่าว ดังนั้นด้วยข้อได้เปรียบทางดีมานต์ ทอท. จึงมีความพร้อมที่จะใช้เครื่องมือแคมเปญการตลาด (Marketing campaign) มากระตุ้นยอดผู้โดยสารที่สนามบินใหม่ที่รับโอนมาได้ จากการศึกษาของ ทอท. พบว่าท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่ง มีอุปสงค์เงา (Shadow demand) สัดส่วนมากถึง 20% ซึ่งอุปสงค์ดังกล่าวคือจำนวนผู้โดยสารที่ต้องการบินตรงไปยังสนามบินปลายทางทั้งสามแห่ง แต่ยังคงต้องเสียเวลามาต่อเที่ยวบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพื่อเปลี่ยนเป็นเที่ยวบินภายในประเทศ

นายนิตินัย กล่าวถึงกรณีข้อสังเกตุในกรณีที่รับโอน 3 สนามบินแล้วจะส่งผลให้ค่าธรรมเนียมสนามบิน (Passenger Service Charge : PSC) แพงขึ้น ระบุว่า การรับโอน 3 สนามบินจะทำให้ค่า PSC ถูกลงเนื่องจากไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อนกันหลายสนามบิน เช่น ชาวต่างชาติจะเดินทางจากจังหวัดอุดรธานีไปยังยุโรป สามารถบินตรงกลับไปได้เลยโดยไม่ต้องไปเสียเวลาต่อเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ นอกจากจะสะดวกสบายแล้วยังเสียค่า PSC แค่ครั้งเดียวอีกด้วย 

นอกจากนี้การกำหนดค่า PSC ยังต้องอิงมาตรฐานขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ซึ่งกำหนดให้สนามบินต้องคิดค่าบริการตามต้นทุนในรูปแบบที่ไม่มีกำไรมากนัก ประกอบกับประเทศไทยมีหน่วยงานกลางของรัฐบาลอย่างสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) กำกับดูแลอีกชั้นนึงด้วย ดังนั้นไม่ว่าใครจะเข้ามาบริหารสนามบินจะต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ต้องแจกแจงต้นทุนบริหารเพื่อยึดเป็นแนวทางการคำนวณค่า PSC เช่นเดียวกัน

“การพัฒนาท่าอากาศยานให้ได้มาตรฐานการบินสากลเป็นเรื่องที่ใช้งบประมาณลงทุนสูงเพื่อให้สามารถรับเที่ยวบินตรงจากต่างประเทศได้ มาตรฐานสนามบินที่ดีขึ้นจึงมาพร้อมค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ทอท.จึงมีความพร้อมด้านเงินทุนและเครื่องมือในการบริหาร สามารถเริ่มพัฒนาสนามบินได้โดยไม่ต้องรองบประมาณของรัฐบาล อีกทั้งยังนำส่งผลตอบแทนกลับเข้าแผ่นดินในรูปแบบภาษีและเงินปันผลตามสัญญาที่รัฐกำหนด” นายนิตินัย กล่าว

“ทำไมต้องเป็น ทอท. กระทรวงคมนาคมเห็นว่า ทอท.มีผู้โดยสารในมือ 85% หรือ 142 ล้านคน (ก่อนเกิดโควิด) และมีเครื่องมือในการทำการตลาด สร้างแรงจูงใจในการโอนผู้โดยสารไปได้ นอกจากนี้ ทอท.ยังมีเงินทุน โดยไม่ต้องให้รัฐอุดหนุนงบประมาณเหมือน ทย. ซึ่งคาดว่าการปรับปรุง 3 สนามบินให้ได้มาตรฐานจะต้องใช้เงินทุนประมาณ 4-5 พันล้านบาท ส่วนกำไรที่ได้จากการบริหารนั้นกระทรวงการคลังถือหุ้นใน ทอท. 70% ขณะที่ ทอท.ยังต้องจ่ายภาษีโรงเรือน ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งหากเป็น ทย.บริหาร นอกจากพึ่งพางบประมาณรัฐในการลงทุนพัฒนาแล้ว รัฐไม่ได้รับรายได้หรือการจ่ายภาษีต่างๆ อีกด้วย ซึ่งคำนวณจากสัญญา 30 ปี จะช่วยรัฐประหยัดงบประมาณในการลงทุนและสร้างรายได้ต่างๆ เกิดประโยชน์แก่ประเทศมูลค่าประมาณ 4.9-5 หมื่นล้านบาท”