“ทริสเรทติ้ง”เพิ่มอันดับเครดิต “NPS” เป็น BBB+ สะท้อนสถานะการเงินดีขึ้นจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด หรือ ทริสเรทติ้ง(TRIS)​ สถาบันจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของไทย ได้เพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยการเพิ่มอันดับเครดิตในครั้งนี้สะท้อนถึงสถานะทางการเงินของบริษัทที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ อันดับเครดิต “BBB+”ยังคงสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอซึ่งบริษัทได้รับจากสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power PurchaseAgreement – PPA) ระยะยาวภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer – SPP) ที่มีกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ บริษัท ดับเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าว ก็มีข้อจำกัดบางส่วนจากกระบวนการปรับโครงสร้างภายในกลุ่มบริษัทที่ยังคงดำเนินอยู่

สำหรับประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต มีดังนี้

1.สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวช่วยให้มีรายได้มั่นคง

รายได้ของบริษัทประมาณ 75%-85% มาจากการจำหน่ายไฟฟ้และไอน้ำซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ กฟผ. และกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรม โดยบริษัทมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. รวม 296 เมกะวัตต์ระยะเวลา 25 ปี หรือคิดเป็น 41% ของกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของบริษัท

นอกจากนี้บริษัทยังจำหน่ายไฟฟ้าและไอน้ำจำนวน 167.6 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 23% ของกำลังการผลิตทั้งหมด) ให้แก่บริษัทดับเบิ้ล เอ (1991) โดยมีอายุสัญญาตั้งแต่ 1 ปีถึง 19 ปีอีกด้วย ในขณะที่ลูกค้าในส่วนอุตสาหกรรมในจังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าและไอน้ำในสัดส่วนที่เหลือตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. โดยกฟผ. จะซื้อไฟฟ้าจากบริษัทในปริมาณขั้นต่ำที่ระดับ 80%ของกำลังการผลิตตามสัญญาโดยขึ้นอยู่กับความพร้อมของโรงไฟฟ้า

2.โครงการ IPP อยู่ระหว่างการพัฒนา

ปัจจุบันโครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer — IPP) ของบริษัทหรือ “โครงการโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์” ได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลโดยให้เปลี่ยนประเภทเชื้อเพลิงเป็นก๊าซธรรมชาติเมื่อเดือนกรกฏาคม 2562 และบริษัทก็ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. และสัญญาซื้อขายก๊ซธรรมชาติกับ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว โครงการ IPP ขนาด 560 เมกะวัตต์นี้มีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2570 ปัจจุบันบริษัทอยู่ในระหว่างการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวตล้อมสำหรับโรงไฟฟ้าและท่อก๊าซธรรมชาติซึ่งคาดว่าจะแล้วปี 2564 นี้ เมื่อการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมได้รับความเห็นชอบ บริษัทจะทำการคัดเลือกผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการและจัดหาแหล่งเงินทุนต่อไป บริษัทมีสัดส่วนการลงทุนในโครงการนี้จำนวน 65% และที่เหลือเป็นสัดส่วนการลงทุนของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จีดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3.4 พันล้านบาท สำหรับส่วนทุนตามสัดส่วนการถือหุ้น ในช่วงปี 2567-2570

3.ธุรกิจเอทานอลปรับตัวดีขึ้น

ธุรกิจเอทานอลของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากที่บริษัทได้ปรับปรุงกระบวนการผลิตให้สามารถใช้มันสำปะหลังและกากน้ำตาลเปินวัตถุดิบในการผลิตแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2561 การปรับปรุงดังกล่าวช่วยให้บริษัทมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการวัตถุดิบและช่วยลดตันทุนในการผลิต โดยในปี 2563 โรงงานเอทานอลของบริษัทมีอัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 72% จากประมาณ 50% ในปี 2562 ในขณะเตียวกันกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายจากโรงงานเอทานอลก็เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 146 ล้านบาทในปี 2563 จาก 120 ล้านบาทในปี 2562 โดยในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2564 ธุรกิจเอทานอลมีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ 65% และมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 49 ล้านบาท

4.ความสำเร็จในการเปลี่ยนค่าไฟฟ้าเป็นแบบ FiT

ในปี 2563 บริษัทประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอัตราค่าไฟฟ้ากับ กฟผ. สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทจำนวน 116 เมกะวัตต์ (คิดเป็น 16% ของ
กำลังการผลิตรวมของบริษัท โตยอัตราค่ไฟฟ้าได้รับการปรับเปลี่ยนจากการคำนวณค่ไฟฟ้โดยอ้างอิงราคาเชื้อเพลิง (Indexed Fuel Price) มาเป็นแบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่อัตรา 3.66 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย)

ทั้งนี้ อัตราค่าไฟฟ้าแบบ FiT นั้นจะมีความผันผวนต่อราคาเชื้อเพลิงน้อยกว่าแบบที่คำนวณโดยอ้างอิงราคาเชื้อเพลิง ภายใต้โครงสร้างค่าไฟาแบบเดิมนั้น ค่าไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทจะอ้างอิงกับราคาก๊ซธรรมชาติ และราคาน้ำมันเตาซึ่งค่อนข้างมีความผันผวน ในขณะที่อัตราค่าไฟฟ้าแบบ FiT จะมีองค์ประกอบ 2 ส่วนคือส่วนที่ตรึงราคาไว้ที่ 1.81 บาทต่อหน่วยและส่วนที่ผันแปรไปตามอัตราเงินเฟ้อที่จำนวน 1.85 บาทต่อหน่วย ทั้งนี้ ในปี 2563 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่ปรับตัวดีขึ้นเป็น 4.65 พันล้านบาทจาก 4.47 พันล้านบาทในปี 2562 ซึ่ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งเคยประมาณการไว้ที่ระดับ 3.84.1 พันล้านบาทต่อปีโดยใช้อัตราค่าไฟฟ้าแบบเดิม

5.สถานะทางการเงินปรับตัวดีขึ้น

ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วที่ระดับ 1.4 หมื่นล้านบาท ลดลงจากประมาณ 1.69 หมื่นล้านบาท ณ สิ้นปี 2562 โดยบริษัทได้ชำระคืนหุ้นกู้บางส่วนก่อนกำหนด 1.1 พันล้านบาทในเดือนพฤศจิกายน 2563 ซึ่งทำให้อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.3% จากระดับ 63.5% ในปี 2562 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราดาและด่าตัดจำหน่ายก็ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับประมาณ 3 เท่าในปี 2563 จาก 3.8 เท่าในปี 2562

ในเดือนพฤษภาคม 2564 บริษัทได้ทำการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่โดยการออกหุ้นกู้มูลค่า 5.5 พันล้านบาท ในการนี้ บริษัทได้นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่รวมกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไปใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวก่อนกำหนดรวม 1.: พันล้านบาทและชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่ 3.9 พันล้านบาทที่ครบกำหนดในเดือนสิงหาคม 2564 ดังนั้น ดารางการชำระหนี้เงินกู้ในปัจจุบันของบริษัทจึงมีความสอดคล้องกับกระแสเงินสดของบริษัทมากขึ้น และอายุเฉลี่ยของเงินกู้โดยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5 ปี จากประมาณ 3 ปีในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563

ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี 2564-2566 โดยประมาณการนี้อยู่บนสมมติฐานที่บริษัทจะไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ในช่วงประมาณการดังกล่าว ทั้งนี้ ทริสเรทดิ้งคาดว่าบริษัทจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3.9 พันล้านบาทในช่วงปี 2564-2566 โดยส่วนใหญ่จะนำไปขยายระบบสายส่งและปรับปรุงสถานีไฟฟ้าใน “สวนอุตสาหกรรม 304” เพื่อรองรับอุปสงค์ในการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นของลูกค้าอุดสาหกรรมทั้งรายเก่าและรายใหม่

นอกจากนี้ บริษัทจะนำเงินลงทุนอีกส่วนหนึ่งไปใช้ในการบำรุงรักษาและเพิ่มประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าของบริษัทเพื่อยืดอายุโรงไฟฟ้ให้สามารถรองรับ
อุปสงค์ของลูกค้าอุดสาหกรรมหลังจากที่สัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ. จะเริ่มหมดอายุในปี 2567

ทริสเรทดิ้งประมาณการว่ากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและด่ตัดจำหน่ายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 4.1-4.6 พันล้านบาทต่อปีในช่วงปี
2564-2566 โดยใช้ฐานการคำนวณจากอัตราค่าไฟฟ้าแบบ FiT สำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทและคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าโดยรวมได้ที่ระดับประมาณ 84%-86% โดยระดับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและตัดจำหน่ายนี้น่าจะเพียงพอสำหรับการลงทุนตามแผนของบริษัท ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของ
บริษัทจะแกว่งตัวอยู่ที่ประมาณ 3 เท่าในปี 2564 และจะปรับตัวดีขึ้นเป็นประมาณ 2-3 เท่าในระหว่างปี 2565-2566 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนนั้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 45%-55% ในช่วงปี 2564-2565 จากที่ระดับ 55. 3% ณ สิ้นปี 2563

6.สภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถบริหารจัดการได้

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทน่าจะสามารถบริหารจัดการสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสมตลอดระยะเวลาประมาณการ ทั้งนี้ บริษัทได้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้มูลค่า 3.9 พันล้านที่ครบกำหนดในช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2564 เรียบร้อยแล้ว โดยใช้เงินสดที่มีอยู่และเงินสดจากการดำเนินงาน และมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 3-3.5 พันล้านบาทต่อปีซึ่งเพียงพอสำหรับการชำระหนี้หุ้นกู้ครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคม 2565 จำนวน 1.8 พันล้านบาท

7.โครงสร้างหนี้

ณ เดือนมิถุนายน 2564 บริษัทมีภาระหนี้ทั้งสิ้นจำนวน 1.77 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันที่ออกโดยบริษัททั้งหมด ส่วนบริษัทย่อยของบริษัทนั้นได้ทำการชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนดทั้งหมดแล้วในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ดังนั้น อัตราส่วนของหนี้ที่มีลำดับในการได้ชำระคืนก่อนต่อภาระหนี้ทั้งหมดของบริษัทจึงอยู่ที่ระดับ 0% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2564