ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิต “กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี” ที่ “A” หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน ที่ “A-” แนวโน้ม “Stable”

ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ “A-” ด้วย โดยหุ้นกู้ดังกล่าวมีอันดับเครดิตต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอยู่ 1 ระดับเนื่องจากมีลักษณะการด้อยสิทธิทางโครงสร้าง (Structural Subordination) เมื่อเทียบกับเงินกู้ปัจจุบันของบริษัทย่อย 

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย ตลอดจนการลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (หรือ กฟผ. ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “AAA” จากทริสเรทติ้ง) รวมถึงผลงานในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตลดทอนลงจากภาระเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นในช่วงของการขยายงานจำนวนมาก

ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต

มีสถานะเป็นผู้นำในตลาด  

บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งที่คิดตามสัดส่วนการลงทุนในโรงไฟฟ้าซึ่งดำเนินงานแล้วอยู่ที่ 2,701 เมกะวัตต์ (Megawatts Equity — MWe) และหลังจากพัฒนาโครงการแล้วเสร็จทั้งหมด กำลังการผลิตดังกล่าวของบริษัทจะเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าเป็น 6,906 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ โครงการส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้าอิสระ (Independent Power Producer — IPP) (5,072 เมกะวัตต์ หรือ 73% ของทั้งหมด) และโรงไฟฟ้าระบบผลิตพลังงานร่วมหรือโคเจนเนอเรชั่น (Cogeneration) ภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small Power Producer — SPP) (1,403 เมกะวัตต์ หรือ 20% ของทั้งหมด)

กระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับ กฟผ.  

อันดับเครดิตอยู่ภายใต้สมมติฐานในการมีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้จากโรงไฟฟ้าของบริษัท ปัจจุบันบริษัทจำหน่ายไฟฟ้าประมาณ 90% ของกำลังการผลิตตามสัดส่วนการลงทุนให้แก่ กฟผ. ภายใต้โครงการ SPP และ IPP โดยหลังจากพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้า IPP ขนาดใหญ่ 2 โครงการซึ่งมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งที่คิดตามสัดส่วนการลงทุนรวมกัน 3,710 เมกะวัตต์แล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2567 บริษัทจะเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่สุดที่มีโรงไฟฟ้าเชื่อมต่อกับระบบสายส่งไฟฟ้าของ กฟผ.

แต่ละสัญญาที่ทำไว้กับ กฟผ. มีอายุ 25 ปีนับจากวันที่โรงไฟฟ้าเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ สำหรับโครงการ IPP นั้น กฟผ. จะต้องจ่ายค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment – AP) เต็มจำนวนให้แก่บริษัทตราบเท่าที่บริษัทสามารถดำรงความพร้อมจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าได้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญา แม้ว่า กฟผ. จะไม่สั่งจ่ายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า IPP ของบริษัท แต่ กฟผ. ก็ยังคงต้องจ่ายชำระในส่วนของค่า AP ส่วนสัญญาซื้อขายไฟฟ้าของ SPP นั้นจะแตกต่างออกไปเล็กน้อย โดยภายใต้สัญญา SPP นั้น กฟผ. จะต้องสั่งจ่ายไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 80% ของกำลังการผลิตตามสัญญาซึ่งคำนวณจากจำนวนชั่วโมงที่สามารถดำเนินงานได้ ทั้งโรงไฟฟ้า IPP และ SPP นั้นต่างก็มีกลไกในการส่งผ่านต้นทุนเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ ส่งผลให้กระแสเงินสดที่ได้จากโรงไฟฟ้าเหล่านี้สามารถคาดการณ์ได้

การลงทุนที่มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี  

การลงทุนในโรงไฟฟ้าของบริษัทนั้นมีการกระจายความเสี่ยงที่ดี บริษัทลงทุนในโรงไฟฟ้ามากกว่า 30 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงถือเป็นสินทรัพย์หลักของบริษัทในการผลิตไฟฟ้าโดยคิดเป็นสัดส่วน 93% หรือ 6,450 เมกะวัตต์ของกำลังการผลิตไฟฟ้า ในขณะที่กำลังการผลิตส่วนที่เหลืออีก 456 เมกะวัตต์เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในประเทศเวียดนาม (430 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศไทย (25 เมกะวัตต์) บริษัทขยายการลงทุนไปในต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท

โรงไฟฟ้าของบริษัทที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตภาคกลางและภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยจำแนกเป็นโรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่นภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็กจำนวน 19 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งที่คิดตามสัดส่วนการลงทุน 1,256 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Combined-cycle) ภายใต้โครงการ IPP อีก 4 แห่งซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งที่คิดตามสัดส่วนการลงทุน 5,072 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าโคเจนเนอเรชั่นนั้นตั้งกระจายอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคกลางและระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) จำนวน 7 โรง ในขณะที่โรงไฟฟ้า IPP นั้นตั้งอยู่ในจังหวัดสระบุรี อยุธยา และระยอง  

มีประวัติการดำเนินงานโรงไฟฟ้า IPP และ SPP ที่น่าเชื่อถือ

คณะผู้บริหารและคณะผู้ปฏิบัติการของบริษัทมีประสบการณ์ในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าในประเทศไทยมากว่า 20 ปี คณะผู้บริหารได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการบริหารโครงการโดยทุกโครงการของบริษัทที่ปัจจุบันเปิดดำเนินงานแล้วล้วนมีประวัติการเปิดดำเนินงานได้ตรงตามเวลาและภายในงบประมาณที่กำหนดไว้ทั้งสิ้น ซึ่งผลงานเหล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจได้ว่าโครงการที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ในปัจจุบันจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ นอกจากนี้ โรงไฟฟ้า SPP และ IPP ของบริษัทยังสามารถดำรงความพร้อมจ่ายได้สูงกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่องอีกด้วย

โรงไฟฟ้าของบริษัทใช้เทคโนโลยีที่ผ่านการพิสูจน์แล้วจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียง เช่น Siemens รวมถึง GE และ Mitsubishi นอกจากนี้ บริษัทยังมีสัญญาให้บริการซ่อมบำรุงและจัดหาอะไหล่ระยะยาว (Long-term Service Agreements – LTSA) และสัญญาจัดหาอะไหล่ระยะยาว (Long-term Parts Agreement – LTPA) กับผู้ผลิตอีกด้วย โดยสัญญาบริการต่าง ๆ เหล่านี้มีอายุเท่ากับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า การมีสัญญาบริการเหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการรับบริการซ่อมบำรุงรักษาอุปกรณ์หลัก ๆ ของโรงไฟฟ้า รวมถึงช่วยบรรเทาความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สำคัญ การมีพอร์ตไฟฟ้าขนาดใหญ่ยังช่วยให้บริษัทได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดและเทอมการค้าที่ดีจากผู้ผลิต นอกจากนั้น การมีโรงไฟฟ้า SPP ที่มีรูปแบบเหมือนกันรวมถึงการบริหารจัดการอะไหล่แบบรวมศูนย์ยังช่วยให้บริษัทมีอะไหล่ที่เพียงพอและยังสามารถบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพได้อีกด้วย 

ความเสี่ยงจากการก่อสร้างบรรเทาลงได้จากการมีผู้รับเหมาที่มีชื่อเสียง 

ปัจจุบันบริษัทมีโครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าอยู่หลายโครงการ บริษัทมีวิธีบรรเทาความเสี่ยงจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าโดยการลงนามในสัญญารับเหมางานวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และงานก่อสร้าง (Engineering, Procurement, and Construction — EPC) กับผู้รับเหมาที่มีชื่อเสียง โดยบริษัทได้เลือก Toyo Engineering Corporation เป็นผู้รับเหมา EPC สำหรับโรงไฟฟ้า SPP ส่วนใหญ่ของบริษัท โดยทุกโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จตามเป้าหมายและอยู่ภายใต้งบประมาณที่กำหนดไว้ Mitsubishi Hitachi Power System (MHPS) ก็เป็นอีกรายหนึ่งที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นผู้รับเหมา EPC สำหรับโรงไฟฟ้า IPP แห่งใหม่ของบริษัทจำนวน 2 แห่งด้วยเช่นกัน ซึ่ง MHPS มีประวัติผลงานที่ดีโดยได้เคยก่อสร้างโรงไฟฟ้า IPP ให้แก่บริษัทมาแล้ว 2 แห่งและสามารถก่อสร้างได้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและอยู่ภายใต้งบประมาณที่กำหนดไว้เช่นกัน บริษัทเพิ่งลงนามในสัญญารับเหมา EPC กับ PowerChina HDEC- INTL Consortium สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลมในประเทศเวียดนาม โดย PowerChina HDEC- INTL Consortium ประกอบไปด้วย PowerChina Huadong Engineering Corporation Limited และ PowerChina International Group Limited ซึ่งทั้งคู่เป็นบริษัทที่ถือหุ้นโดยรัฐบาลจีน กลุ่ม PowerChina มีประสบการณ์มากมายในงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าหลากหลายประเภทรวมไปถึงโรงไฟฟ้าพลังงานลม

การขยายธุรกิจไปประเทศเวียดนามเพื่อการเติบโต

บริษัทเพิ่งริเริ่มพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนามโดยมีขนาดกำลังการผลิตติดตั้งที่คิดตามสัดส่วนการลงทุนรวมกันทั้งหมด 430 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การเติบโตของบริษัท โดยโครงการดังกล่าวประกอบไปด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 3 แห่ง (135 เมกะวัตต์) และโรงไฟฟ้าพลังงานลมจำนวน 1 แห่ง (295 เมกะวัตต์) ซึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่งแรกขนาดกำลังการผลิตรวมกัน 107 เมกะวัตต์นั้นดำเนินงานแล้ว ขณะที่โครงการที่เหลือมีกำหนดเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในปี 2563 และ 2564 ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2 แห่งแรกเป็นที่น่าพอใจ โดยตั้งแต่เริ่มดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 ปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ก็สูงกว่าปริมาณไฟฟ้าที่คาดว่าจะผลิตได้ตามความน่าจะเป็นที่ระดับ 75% (ระดับ P75)

โครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเวียดนามมีความเสี่ยงหลายประการ โดยบริษัทต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่าง ๆ การบังคับใช้สัญญา โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่เพียงพอ รวมถึงความล่าช้าของงานก่อสร้าง ทริสเรทติ้งยังเห็นว่าสถานะเครดิตของการไฟฟ้าเวียดนาม (Vietnam Electricity หรือ EVN) ที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นนั้นยังไม่แข็งแรงเท่ากับผู้รับซื้อไฟฟ้าในประเทศไทยที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ ระบบสายส่งไฟฟ้าของประเทศเวียดนามในบางจังหวัดโดยเฉพาะบินห์ถ่วนและนินห์ถ่วนนั้นก็กำลังเผชิญกับปัญหาความสามารถในการรองรับปริมาณกระแสไฟฟ้า ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกอย่างน้อย 2 ปีตามความเห็นของทริสเรทติ้ง

เงินลงทุนรวมของบริษัทในประเทศเวียดนามคิดเป็นสัดส่วนต่ำกว่า 10% ของพอร์ตไฟฟ้าทั้งหมดเมื่อโครงการโรงไฟฟ้าทุกแห่งดำเนินงานแล้ว โดยทริสเรทติ้งมองว่าโครงการต่าง ๆ ของบริษัทในประเทศเวียดนามจะมีความเสี่ยงในการถูกจำกัดการรับซื้อไฟฟ้าไม่สูงนักเมื่อพิจาณาจากที่ตั้งของโครงการ

การขยายไปสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน

บริษัทเพิ่งขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ผ่านทาง บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด โดยอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 ภายใต้สัญญาร่วมลงทุนระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnership: PPP) กับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ บริษัท กัลฟ์ เอ็มทีพี แอลเอ็นจี เทอร์มินอล จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท และ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด โครงการซึ่งมีมูลค่ากว่า 4 หมื่นล้านบาทนี้ประกอบด้วยงานออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (งานขุดลอกและถมทะเล) และงานก่อสร้างท่าเทียบเรือก๊าซและสถานีรับจ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว เนื่องจากโครงการนี้ยังอยู่ในช่วงแรกของการพัฒนา ทริสเรทติ้งจึงรวมเฉพาะงานออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไว้ในประมาณการ โดยบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะได้รับเงินจำนวนปีละประมาณ 1 พันล้านบาทจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 30 ปีนับตั้งแต่งานออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแล้วเสร็จซึ่งกำหนดไว้ในปี 2566 เมื่อพิจารณาจากนโยบายของบริษัทแล้ว บริษัทมีแนวโน้มที่จะลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่มีความเสี่ยงในด้านตลาด รวมถึงสร้างผลกำไรคงที่และกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจะมีขนาดไม่มากนักในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า

ภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากการขยายงานขนาดใหญ่

บริษัทมีการลงทุนขนาดใหญ่ในระหว่างปี 2562-2567 ซึ่งน่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 1.42 แสนล้านบาท โดยประมาณ 9.1 หมื่นล้านบาทจะใช้ก่อสร้างโรงไฟฟ้า IPP ทั้ง 2 แห่งให้แล้วเสร็จ ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาทจะใช้ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนาม ประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาทจะใช้ลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน (ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดระยะที่ 3 และมอเตอร์เวย์สาย M6 และสาย M81) ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 1 หมื่นล้านบาทจะใช้ลงทุนในโครงการอื่น ๆ

เมื่อพิจารณาถึงจำนวนโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยทริสเรทติ้งประมาณการว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ประมาณ 73% ในปี 2565 จาก 56.2% ณ เดือนกันยายน 2562 อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย จะเพิ่มขึ้นถึงจุดสูงสุดที่ประมาณ 10 เท่า และจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 จนมาอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายลงที่ 4-5 เท่าภายในปี 2568 เมื่อโครงการโรงไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทเปิดดำเนินงาน ทั้งนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนามได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากผู้รับเหมาก่อสร้าง ในการนี้ บริษัทจะจ่ายค่าก่อสร้างส่วนใหญ่หลังจากโครงการได้เปิดดำเนินงานแล้ว ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในช่วงของการก่อสร้าง

ช่วงเก็บเกี่ยวผลกำไรจะเริ่มตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป

คาดว่าบริษัทจะเริ่มรับรู้ผลกำไรจากโรงไฟฟ้า SPP และ IPP ได้อย่างเต็มที่ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป โดยโรงไฟฟ้า IPP แห่งใหม่ทั้งสองจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโต ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานรวมจะเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญเป็นประมาณ 1 แสนล้านบาทในปี 2568 จากเกือบ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2562 ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าเป็นประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2568 จากเกือบ 1 หมื่นล้านบาทในปี 2562 

ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัทจะยังคงน่าพอใจเมื่อพิจารณาจากประวัติการดำเนินงานโรงไฟฟ้า IPP และ SPP เนื่องจากกระแสเงินสดที่ได้จากโรงไฟฟ้า IPP และ SPP สามารถคาดการณ์ได้ อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จึงมีแนวโน้มที่จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงกว่า 30% ในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า

สภาพคล่องยังจัดการได้

ทริสเรทติ้งเชื่อว่าบริษัทจะสามารถจัดการกับสภาพคล่องได้อย่างเหมาะสม โดยเงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะเพียงพอที่จะรองรับภาระหนี้ระยะยาวที่จะครบกำหนดในแต่ละปีได้ ทั้งนี้ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า เงินทุนจากการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 7-13 พันล้านบาทต่อปี ในขณะที่บริษัทต้องชำระคืนหนี้ระยะยาวจำนวน 3-5 พันล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ บริษัทยังมีวงเงินกู้ที่ยังไม่ได้เบิกใช้รวมทั้งเงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการของตลาด ณ เดือนกันยายน 2562 รวมกันอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาทสำหรับเป็นแหล่งเงินสดได้อีกทางหนึ่งด้วย 

บริษัทมีข้อกำหนดทางการเงินสำหรับหุ้นกู้ โดยบริษัทต้องดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนที่ไม่เกิน 3.5 เท่า ซึ่งอัตราส่วนดังกล่าว ณ เดือนกันยายน 2562 อยู่ที่ 1.3 เท่า ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดดังกล่าว 

สมมติฐานพื้นฐาน

  • กำลังการผลิตติดตั้งรวมของโรงไฟฟ้าที่คิดตามสัดส่วนการลงทุนและเปิดดำเนินงานแล้วจะเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 เมกะวัตต์ในอีก 3 ปีข้างหน้า
  • รายได้จากการดำเนินงานรวมจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 6.23 หมื่นล้านบาทในปี 2565 
  • อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 30% 
  • เงินลงทุนจะอยู่ในช่วง 2-4 หมื่นล้านบาทต่อปี
  • บริษัทได้รับเครดิตระยะยาวในการชำระเงินจากผู้รับเหมาก่อสร้างสำหรับงานก่อสร้างโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนในประเทศเวียดนาม

แนวโน้มอันดับเครดิต

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าโรงไฟฟ้าของบริษัทจะมีการดำเนินงานอย่างราบรื่นและสามารถสร้างกระแสเงินสดได้ตามแผน ในขณะที่โรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างนั้นคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินงานได้ตามกำหนดการ

ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง

โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มในระยะ 12-24 เดือนข้างหน้ามีค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากผลของการพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่ ๆ ของบริษัทที่ล่าช้าไปจากกำหนดการอย่างมีนัยสำคัญจนกระทบต่อกระแสเงินสดที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ การลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้การก่อหนี้จนทำให้โครงสร้างเงินทุนของบริษัทอ่อนแอลงไปอย่างมีนัยสำคัญก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะกดดันอันดับเครดิตของบริษัทได้

เกณฑ์การจัดอันดับเครดิตที่เกี่ยวข้อง

– วิธีการจัดอันดับเครดิตธุรกิจทั่วไป,  26 กรกฎาคม 2562 – อัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญและการปรับปรุงตัวเลขทางการเงิน, 5 กันยายน 2561 

บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (GULF)

อันดับเครดิตองค์กร:A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
GULF221A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2565A-
GULF241A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2567A-
GULF261A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2569A-
GULF291A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2572A-
แนวโน้มอันดับเครดิต:Stable