ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบเล็กน้อย หลังระหว่างวันร่วงหนัก กังวลเฟดจะไม่ลเดอกเบี้ย

  • การจ้างงานชี้เศรษฐกิจสหรัฐยังขยายตัวดี
  • มีแรงเทขายหุ้นในตลาดเอสแอนด์พี 500
  • พิษหัวเห่ยทำตลาดส่งออกชิพไม่สดใส

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดตลาด 5 ก.ค.พลิกกลับมาติดลบเล็กน้อย หลังจากระหว่างวันร่วงลงกว่า 200 จุด ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก ปิดตลาดติดลบเช่นกัน นักลงทุนมีความเห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังขยายตัวในอัตราที่ดี หลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่กลับมาแข็งแกร่งเกินคาด ทำให้ความหวังที่ว่า ธนาคารสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมในช่วงเดือน ก.ค.นี้ลดลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,922.12 จุด ลดลง 43.88 จุด หรือ -0.16% ขณะที่ ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 2,990.41 จุด ลบ 5.41 จุด หรือ -0.18% และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 8,161.79 จุด ลดลง 8.44 จุด หรือ -0.10%

กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 224,000 ตำแหน่งในเดือนมิ.ย. ซึ่งดีดตัวขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่า จะเพิ่มขึ้น 165,000 ตำแหน่ง หลังขยายตัวเพียง 72,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ค.
ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานเดือนมิ.ย. นับว่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 5 เดือน ขณะที่ตัวเลขเดือนพ.ค. ถูกทบทวนปรับลดลงจากรายงานเบื้องต้นที่ 75,000 ตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานเดือนมิ.ย. ขยับขึ้นสู่ระดับ 3.7% จากระดับ 3.6% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค. 2512
ข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดดังกล่าวทำให้นักลงทุนหมดหวังที่จะเห็นเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมากในการประชุมวันที่ 30-31 ก.ค.นี้ เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

หลังจากการทำสถิติใหม่ต่อเนื่องมา 3 วันในช่วงก่อนหน้า หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P 500 ปิดลดลง นำโดยกลุ่มเฮลธ์แคร์ และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งปรับตัวลง 0.73% และ 0.57% ตามลำดับ ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นมากที่สุด 0.38%

นายคริส โลว์ หัวหน้านักเศรษศาสตร์ของเอฟทีเอ็น ไฟแนนเชียลระบุว่า การขยายตัวที่แข็งแกร่งของการจ้างงานในเดือนมิ.ย.ได้ลดโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ประเด็นต่อไปที่นักลงทุนมุ่งให้ความสนใจคือการเจรจาการค้ารอบใหม่ระหว่างสหรัฐ-จีนในสัปดาห์หน้า

นายเกา เฟิง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทีมเจรจาของจีนและสหรัฐได้ติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยจุดยืนของจีนยังคงเหมือนเดิมคือ ข้อพิพาทด้านเศรษฐกิจและการค้าระหว่างจีนและสหรัฐควรจะแก้ไขผ่านการเจรจาและการปรึกษาหารือบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน จีนเองขานรับกับข้อเท็จจริงที่ว่า สหรัฐจะไม่เก็บภาษีสินค้าจีนอีกเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อพิพาทขยายวงออกไป

ขณะที่หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์เผชิญแรงกดดัน หลังบริษัทซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ เปิดเผยในรายงานว่า ผลกำไรไตรมาส 2 ของบริษัท อาจร่วงลง 56% จากปีก่อนซึ่งเป็นการร่วงลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ โดยบรรดานักวิเคราะห์ระบุว่า การส่งออกชิพที่ลดลงให้กับบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ของจีน ส่งผลให้มีปริมาณชิพล้นตลาด และกดดันราคาชิพร่วงลง ส่งผลต่อเนื่องให้หุ้นเอ็นวิเดีย คอร์ป ลบ 1.5% และ หุ้นอินเทล คอร์ป ลดลง 0.91%