ตรงไปตรงมา….ส่ิงที่คนบริโภคไม่ได้

  • ตรงไปตรงมา
  • ส่ิงที่คนบริโภคไม่ได้

    อีก 3 ปีประเทศไทยเราจะอยู่ตรงไหน?! คำถามนี้เป็นของนายธนาคารและนักการเงินที่ต้องพยายามดิ้นรนให้ธุรกิจการเงินของตนเอง สามารถจะอยู่ในระบบ และเช่ือมโยงลูกค้ากับลูกค้าได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่เทคโนโลยี และนวัตกรรมเปลี่ยนโลก ถาโถมเข้าสู่การทำธรุกรรมการเงินที่จะไม่มีการใช้เงินสดอีกต่อไป ในขณะที่ที่ธุรกิจของธนาคารมีเรื่องที่ต้องยุ่งเกี่ยวอยู่แค่ เรื่องของเงินฝาก ดอกเบี้ย และการปล่อยกู้

    แต่อนาคตส่ิงเหล่านี้จะหายไป และทำให้ธนาคารต้องมีเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อเช่ือมโยงให้สามารถเข้าถึงความต้องการอุปโภค-บริโภคของลูกค้าด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพ และบริการที่รวดเร็วกว่า

    มิสไฟน์ จั่วหัวเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพื่อจะโยนคำถามนี้ไปถามบรรดานักการเมือง กับทหารที่กำลังโตเถียงกันเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และไม่ยอมที่จะละเว้นเรื่องการต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจอธิปไตยกลับคืนมา

    อันที่จริง ไม่มีใครโต้เถียงว่า ส่ิงที่ทั้งสองฝ่ายทำเป็นความผิด หรือไม่เหมาะสม เพราะต่างก็เห็นว่า ต่างต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด 

    แต่เมื่อทั้งสองออกมาทุ่มเถียงกัน คนที่ย่ำแย่ และไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยคือ ประชาชน และชาวบ้านตาดำๆอย่างเราๆท่านๆ เนื่องเพราะมันไม่ได้ก่อให้เกิดผลผลิตทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด ที่สำคัญก็คือ แต่ละฝ่ายนั้นคิดแต่ผลที่จะเกิดขึ้นกับตน และพวกพ้อง ไม่ได้คิดว่า ประชาชนอย่างเราๆจะได้อะไร

    ได้ส่ิงที่เขาอยากได้ โดยที่ผู้คนท่ัวไปกลับบริโภคไม่ได้!!

    โดยเฉพาะเมื่อเศรษฐกิจโลกกำลังเกิดความผันผวนอย่างหนัก และค่าเงินบาทกดดันให้เศรษฐกิจไทย โดย   เฉพาะการส่งออกที่เป็นรายได้สำคัญนั้นถดถอยหนัก ดูได้จากตัวเลขที่ติดลบมาอย่างต่อเนื่อง 2 – 3% ในขณะท่ีคาดหวังกันว่า การอัดฉัดเม็ดเงิน 300,000 ล้านบาทล่าสุดใน

โครงการ“ชิม ช้อป ใช้”ของรัฐบาล จะกระตุ้นสภาพเศรษฐกิจภายในที่มีโนวโน้มต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปเร่ือยๆให้สามารขยับปรับตัวเลขขึ้นมาได้บ้าง อย่างการให้เงินคน 10 ล้านคนไปใช้คนละ 1,000 บาท ซึ่งอาจทำให้เกิดการต่อยอดที่ผู้คนจะไปจับจ่ายใช้สอยมากกว่านี้ เพื่อให้ได้ cash back กลับคืนมาจากการใช้วงเงินเพิ่มใช้สอยขึ้นเป็น 30,000 บาท

    ส่ิงที่ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ต้องการเวลานี้คือ มีเงิน มีงาน มีรายได้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยของเขาตามปกติ ไม่ใช่อดม้ือกินมื้อ หรือ เงินในกระเป๋าค่อยๆหร่อยหรอลงเพราะคงเพียงหยิบมือเพียงในศูนย์กลางอำนาจเอาแต่ถกเถียงกันในเรื่องที่เกี่ยวข้องเฉพาะเป้าหมายของตน

นี่ถ้าลองหยุดเถียงกันสักนิดแล้วหันไปดูผู้คนรอบๆด้านที่เขาต้องทำมาหาเลี้ยงชีพกัน คนทั้งสองสามฝ่ายนี้คงจะได้เห็นตัวเลขการขาดทุนของบริษัทต่างๆในสภาพที่โครงสร้างทางธุรกิจอุตสาหกรรมของไทยในหลายสาขาถูกเทคโนโลยีสมัยใหม่กัดกร่อน

    ได้เห็นรายได้ของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และบรรดาธุรกิจอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ รายได้หดายไปเป็นจำนวนมาก รวมถึงราคาหุ้นที่ร่วงทะรูดทะราดลงจาก 1,700 เกือบ 1,800 จุด ร่วงลงเหลือ 1,640 กว่าจุด ในขณะที่หนี้เอ็นอีแอลหรือหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น ส่วนหนี้ครัวเรือนก็พุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย หรือเพิ่มขึ้น 6% คิดเป็นสัดส่วน 78.6% ต่อจีดีพี เฉลี่ยเป็นหนี้สินต่อหัวก็ตก 550,000 บาท 

    สถานการณ์เศรษฐกิจสาหัสกันขนาดนี้ ก็ยังไม่เห็นมีใครสะทกสะท้านสักนิด

                                    สายทิพย์