“ดีอีเอส” มอบสิทธิบริหารไทยคมหลังหมดสัมปทานให้ “เอ็นที”​

  • 11 ก.ย. สิ้นสุดสัมปทาน โอนทรัพย์สินคืนรัฐ
  • “ชัยวุฒิ” ย้ำเป็นก้าวสำคัญของไทย
  • สู่ความมั่นคงด้านการสื่อสารผ่านดาวทียม และรักษาสิทธิวงโคจร

วันนี้ (30 ก.ค.64) ได้มีการลงนามในสัญญามอบสิทธิบริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศภายหลังสิ้นสุดสัญญาดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ระหว่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โดยนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)  กับบริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (เอ็นที ) โดยนาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่  เอ็นที โดยมีนางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดีอีเอส  และนายมรกต เธียรมนตรี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานโครงสร้างพื้นฐาน เอ็นที ร่วมเป็นสักขีพยาน

โดยนายชัยวุฒิ กล่าวว่า การลงนามในสัญญาดังกล่าวเป็นไปตามมติของคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ และคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ที่เห็นชอบให้ เอ็นที เป็นผู้บริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ จนสิ้นสุดอายุทางวิศวกรรมของดาวเทียม หลังจากสิ้นสุดสัญญาสัมปทานกับบริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 10 ก.ย. นี้

ทั้งนี้ การให้ เอ็นที ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐเข้ามาบริหารจัดการทรัพย์สินในโครงการนี้ จะทำให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านการสื่อสารโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมมากยิ่งขึ้น ซึ่งดาวเทียมสื่อสารถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ให้บริการสาธารณะ ดังนั้น การให้บริการดาวเทียมสื่อสารจึงเป็นกลไกสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในสังคมสำหรับเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และการติดต่อสื่อสาร และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการดาวเทียมของไทย

“การมอบสิทธิให้ เอ็นที เข้ามาบริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารในประเทศ ที่จะมีการโอนคืนมาให้กับรัฐ หลังการสิ้นสุดสัมปทานไทยคม จะสร้างความต่อเนื่องในการให้บริการ รวมทั้งเป็นการรักษาสิทธิในตำแหน่งวงโคจรของประเทศไทย ทั้งดาวเทียมไทยคม 4 (119.5 องศาตะวันออก) และดาวเทียมไทยคม 6 (78.5 องศาตะวันออก) ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงไว้ได้” นายชัยวุฒิกล่าว

นาวาอากาศเอก สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ กรรมการและรักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่  เอ็นที กล่าวว่า การที่ได้รับมอบหมายให้เข้ามาดำเนินงานในครั้งนี้ ยังเป็นการต่อยอดทางธุรกิจให้กับ เอ็นที ที่เป็นหน่วยงานของรัฐ ซึ่งการที่ภาครัฐมีดาวเทียมสื่อสารเป็นของตัวเองจะก่อให้เกิดความมั่นคงในกิจการโทรคมนาคมของประเทศ และทำให้ผู้ใช้บริการเกิดความเชื่อมั่น  รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ เอ็นที เป็นผู้ประกอบการดาวเทียมรายใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมดาวเทียมของไทย เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการ และส่งเสริมให้มีการแข่งขันในกิจการสื่อสารและโทรคมนาคมผ่านดาวเทียมของไทย โดยผู้ใช้บริการและประชาชนจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด

ด้านนางวรรณพร เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) กล่าวว่า การดำเนินการตามสัญญานี้ จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ย. 64 โดยกระทรวงดีอีเอส ต้องส่งมอบสิทธิบริหารจัดการทรัพย์สินของโครงการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ เพื่อให้ เอ็นที นำไปประกอบกิจการโทรคมนาคมประเภทดาวเทียมในลักษณะที่เป็นการให้บริการการสื่อสารผ่านดาวเทียม ทั้งด้านโทรคมนาคมและด้านการกระจายเสียงวิทยุและโทรทัศน์ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งการประกอบกิจการหรือการให้บริการที่เกี่ยวข้อง อาทิ การใช้ช่องสัญญาณดาวเทียม (Transponder) เพื่อสนับสนุนงานของหน่วยงานรัฐ

สำหรับการดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบสิทธิบริหารจัดการทรัพย์สินโครงการนี้ รมว.ดีอีเอส จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการประสานงานการบริหารจัดการทรัพย์สินขึ้นมา 1 ชุด ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงดีอีเอส เป็นประธาน และผู้แทนกระทรวงฯ กับผู้แทนบริษัทฝ่ายละเท่า ๆ กันเป็นกรรมการ รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นที่ปรึกษาหรือร่วมเป็นกรรมการ ในการประสานงานเกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ตามความตกลงร่วมกันระหว่างคู่สัญญา ทั้งการถ่ายทอดองค์ความรู้ การตรวจสอบข้อมูลร่วมกันในเรื่องค่าใช้จ่าย และค่าตอบแทนการใช้สิทธิบริหารจัดการทรัพย์สิน โดยค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี อิงอยู่บนพื้นฐานรายได้และกำไรของดาวเทียมทั้ง 2 ดวง เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อให้ดีอีเอส และ เอ็นที ปฏิบัติตามสัญญา กฎหมาย และข้อกำหนดของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU (International Telecommunication Union) ที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการดาวเทียม