ดาวโจนส์ แกว่งตัวผันผวน จับตาดีเบตรอบแรก ทรัมป์ -ไบเดน

  • นักวิเคราะห์ชี้ปัจจัยการเมือง ใครชนะก็กระทบตลาดหุ้น
  • ตลาดจับตาคลอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หารือรอบใหม่
  • นักลงทุนชะลอการซื้อขาย ลดความเสี่ยงเศรษฐกิจ

เมื่อเวลา 22.10 น.ตามเวลาประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวผันผวน ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ 27,434.13 จุดลดลง 149.93 จุดหรือ -0.54% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 11,103.73 จุด ลดลง 13.79 จุด -0.12% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,338.71 จุด ลดลง 12.89 จุด หรือ -0.38%

นักลงทุนจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งมีขึ้นในคืนวันอังคาร เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับเช้าวันพรุ่งนี้ เวลา 08.00 น.ตามเวลาไทย

โดยจะมีการถ่ายทอดสดไปทั่วโลกผ่านทางสถานีโทรทัศน์ CNN และการดีเบตจะใช้เวลารวม 90 นาที ซึ่งผู้เข้าดีเบตจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ประวัติของทรัมป์และไบเดน, ศาลฏีกาสหรัฐ, โควิด-19, เศรษฐกิจ, เชื้อชาติและความรุนแรงในเมืองต่างๆของสหรัฐ รวมทั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง โดยแต่ละหัวข้อจะใช้เวลาอภิปราย 15 นาที

นักวิเคราะห์มองหาตลาดหุ้นสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการดีเบต ซึ่งหากทรัมป์ชนะการดีเบตดังกล่าว ก็จะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล และบริษัทผลิตอาวุธดีดตัวขึ้น และหากไบเดนเป็นฝ่ายชนะ ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มที่มีการค้าทั่วโลก และกลุ่มพลังงานหมุนเวียนปรับตัวขึ้น

โดยคาดกันว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทรุดตัวลง หากไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย. แต่ตลาดหุ้นจะปรับขึ้นด้วย จะขานรับชัยชนะของทรัมป์ จากการที่ไบเดนมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวยเพื่อช่วยคนจน โดยเขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ไบเดนจะปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี ขณะที่ไบเดนเปิดเผยว่าเขาจะเพิ่มการลดหย่อนภาษีสำหรับชนชั้นกลาง และให้เงินอุดหนุนภาษีสำหรับการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น

ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตาความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ โดยนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ส่งสัญญาณว่า ตนและนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ มีแนวโน้มบรรลุข้อตกลงในการออกมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจรอบใหม่ โดยจะมีการหารือรอบใหม่ในคืนนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันให้ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสบรรลุข้อตกลงกันก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะมีขึ้นในเดือนพ.ย.

ส่วนการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ ผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับ 101.8 ในเดือนก.ย. จากระดับ 86.3 ในเดือนส.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 89.5 ดัชนีความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้น ได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้นต่อตลาดแรงงาน

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนส.ค. หลังจากลดลง 0.1% ในเดือนก.ค.ส่วนสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนส.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนก.ค. โดยเป็นการส่งสัญญาณว่าภาคธุรกิจได้ทำการเพิ่มสต็อกสินค้าก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส

นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐเพิ่มขึ้นในเดือนส.ค. โดยตัวเลขนำเข้าพุ่งขึ้น จากการที่ภาคธุรกิจพากันสั่งสินค้าเพื่อเพิ่มปริมาณสินค้าคงคลังที่ได้ลดลงในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ตัวเลขขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น 3.5% สู่ระดับ 8.29 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนส.ค. ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 3.1% สู่ระดับ 2.013 แสนล้านดอลลาร์ และการส่งออกเพิ่มขึ้น 2.8% สู่ระดับ 1.183 แสนล้านดอลลาร์