ดาวโจนส์ ลดลง 63 จุด สวนทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล สหรัฐพุ่ง

.นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้
.ตลาดกังวลคำเตือนจากนักวิเคราะห์ที่ว่า ดัชนีหุ้นมีโอกาสลดลงหลังจากปรับตัวขึ้น 7 เดือนติดต่อกัน
.ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.7%สูงกว่าคาด ขณะที่ตัวเลขตลาดแรงงานปรับตัวแย่ลง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 16 ก.ย.ที่ 34,751.32 จุด ลดลง 63.07 จุด หรือ -0.18% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,473.75 จุด ลดลง 6.95 จุด หรือ -0.16% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 15,181.92 จุด เพิ่มขึ้น 20.39 จุด หรือ +0.13%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.331% เมื่อคืนนี้ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อหุ้นที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน

ตลาดยังกังวลคำเตือนจากนักวิเคราะห์ที่ว่า หลังจากปรับตัวขึ้น 7 เดือนติดต่อกัน ขณะนี้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทกำลังมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการปรับฐานจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่เฟดอาจประกาศปรับลดวงเงิน QE ในการประชุมเดือนนี้, การที่สภาคองเกรสอาจให้การอนุมัติการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมทั้งความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

โดยนางลิซ แอน ซอนเดอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัท Charles Schwab เตือนว่าตลาดหุ้นอาจปรับฐานมากกว่า 3% หรือ 4% ในเดือนนี้

นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 21-22 ก.ย.นี้ เพื่อหาสัญญาณการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 0.7% เมื่อเทียบรายเดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 0.8% และเมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 15.1% โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายในช่วงก่อนเปิดเทอมการศึกษาในสหรัฐ

ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากดีดตัวขึ้น 0.9% ในเดือนมิ.ย.

อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 20,000 ราย สู่ระดับ 332,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 330,000 ราย

หุ้นกลุ่มวัสดุร่วงลง 1.09% โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอร์แรน ดิ่งลง 6.64% หุ้นนิวมอนท์ ร่วงลง 3.95% หุ้นอัลโค คอร์ป ร่วงลง 4.36% หุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ ปรับตัวลง 1.40%

ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 1.06% หลังจากราคาน้ำมันดิบอ่อนแรงลงจากรายงานที่ว่า การผลิตน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกเริ่มฟื้นตัวอีกครั้งหลังจากพายุเฮอริเคนนิโคลัสเคลื่อนตัวผ่านรัฐเท็กซัสไปแล้วในช่วงต้นสัปดาห์นี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.06% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.94% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.01% หุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ร่วงลง 1.94%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยร่วงลงหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นแอปเปิล ลดลง 0.16% หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวลง 0.57% หุ้นเฟซบุ๊ก ลดลง 0.23% หุ้น Nvidia ปรับตัวลง 0.44% หุ้นอินเทล ร่วงลง 0.53%

อย่างไรก็ดี หุ้นแอมะซอน ปรับตัวขึ้น 0.36% ขณะที่หุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยดีดตัวขึ้นเช่นหุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ พุ่งขึ้น 1.95% หุ้นราล์ฟ ลอเรน บวก 0.45% หลังจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า การพุ่งขึ้นของยอดขายออนไลน์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขยอดค้าปลีกโดยรวมของสหรัฐดีดตัวขึ้นในเดือนส.ค.

หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 1.42% หลังจากบริษัทโมเดอร์นาเปิดเผยข้อมูลใหม่จากผลการทดลองวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในสหรัฐ โดยระบุว่า ภูมิคุ้มกันที่ได้จากวัคซีนจะลดลงหลังจากผ่านไปหลายเดือน ซึ่งเป็นเหตุผลสนับสนุนให้มีการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน