ดาวโจนส์ ปิดลบ 60 จุด นักลงทุนเทขายหุ้นแอปเปิลทำกำไร

.ดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก ทำนิวไฮต่อเนื่อง
.หุ้นเอ็กซอน โมบิล หุ้นไฟเซอร์ หุ้นเรย์เธียน เทคโนโลยีส์ ร่วงแรงหลังถูกถอดจากการคำนวณดัชนี
.ตลาดให้ความสำคัญกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมากขึ้น

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่25 ส.ค.ที่ 28,248.44 จุด ลดลง 60.02 จุด หรือ -0.21% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,443.62 จุด เพิ่มขึ้น 12.34 จุด หรือ +0.36% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 11,466.47 จุด เพิ่มขึ้น 86.75 จุด หรือ +0.76%

ดัชนีดาวโจนส์ปิดในแดนลบ ขณะที่เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก ทำนิวไฮต่อเนื่อง โดยมีแรงเทขายหุ้นแอปเปิล จนร่วงลงกว่า 2% ในระหว่างวัน หลังราคาหุ้นพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนหน้านี้ เป็นแรงกดดันหลักกดดันดัชนีตลาด

ขณะที่หุ้นเบสท์บาย ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกสินค้าอิเลคทรอนิคส์รายใหญ่ของสหรัฐ ร่วงลง 4.03% หลังจากผู้บริหารของบริษัทได้แสดงมุมมองด้านลบเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการในอนาคต แม้บริษัทมีกำไรในไตรมาส 2 ที่ระดับ 1.71 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.08 ดอลลาร์/หุ้น

นอกจากนั้น การดิ่งลงของหุ้นเอ็กซอน โมบิล 3.2% หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 1.1% และหุ้นเรย์เธียน เทคโนโลยีส์ ร่วงลง 1.5% เป็นอีกปัจจัยที่กดดันดัชนีตลาด หลังจาก S&P Dow Jones Indices LLC ซึ่งเป็นผู้จัดทำดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ประกาศว่า หุ้นของบริษัทเอ็กซอน โมบิล, ไฟเซอร์ อิงค์ และเรเธียน เทคโนโลยีส์ จะถูกถอดออกจากคำนวณในดัชนีดาวโจนส์ ตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.นี้ และจะแทนที่ด้วยหุ้นของเซลส์ฟอร์ซดอทคอม, แอมเจน อิงค์ และฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแนล

การถอดหุ้นทั้ง 3 ตัวดังกล่าวนับเป็นการปรับน้ำหนักหุ้นในดัชนีดาวโจนส์ครั้งใหญ่สุดในรอบ 7 ปี และเกิดขึ้นหลังจากที่บริษัทแอปเปิล อิงค์ซึ่งมีน้ำหนักในดัชนีดาวโจนส์ประมาณ 12% ได้ประกาศแตกหุ้น ส่วนหุ้นเซลส์ฟอร์ซดอทคอม, แอมเจน อิงค์ และฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแนล พุ่งขึ้น 3.73%, 5.37% และ 3.24% ตามลำดับ

ทั้งนี้ หลังจากราคาหุ้นของทั้ง 3 บริษัทได้ถูกนำไปคำนวณในดัชนีดาวโจนส์ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธุรกิจสุขภาพพุ่งขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนดัชนีเอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก โดยหุ้นเฟซบุ๊ก พุ่งขึ้น 3.47% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 1.3% หุ้นอัลฟาเบท เพิ่มขึ้น 1.31% ส่วนหุ้นในกลุ่มธุรกิจสุขภาพนั้น หุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 1.07% หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ บวก 0.48% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค บวก 0.27%

หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 2.2% หลังจากทางสายการบินประกาศว่าจะจะปลดพนักงานจำนวน 19,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หากรัฐบาลไม่ขยายอายุมาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อทางบริษัท

ขณะที่หุ้นสตาร์บัคส์ ทะยานขึ้น 5.1% หลังจากนักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์สตีเฟลได้ปรับเพิ่มน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นสตาร์บัคส์ สู่ระดับ “buy” จากระดับ “hold”

บรรยากาศการซื้อขายยังได้รับแรงกดดันจากผลสำรวจของ Conference Board ซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลงสู่ระดับ 84.8 ในเดือนส.ค. จากระดับ 91.7 ในเดือนก.ค. และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 93.0 โดยดัชนีร่วงลงเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากผู้บริโภคมีความวิตกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่แพร่ระบาด

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอื่นๆ ที่ออกมาแสดงทิศทางเป็นบวก ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.3% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว สอดคล้องกับเดือนพ.ค.

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 13.9% สู่ระดับ 901,000 ยูนิตในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2549 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 785,000 ยูนิต

นอกจากนั้น ยังมีข่าวดีเล็กๆ เกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ โดยนายหลิว เหอ รองนายกรัฐมนตรีจีน ได้สนทนาทางโทรศัพท์กับนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) และนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เมื่อวานนี้ ซึ่งทั้งสองฝ่ายให้คำมั่นว่าจะผลักดันให้มีการดำเนินการตามข้อตกลงการค้าเฟสแรก

นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของเฟดที่เมืองแจ็กสัน โฮล ในวันพฤหัสบดีที่ 27 ส.ค. เวลา 09.10 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือ 20.10 น.ตามเวลาไทย