ดาวโจนส์เปิดตลาดรับปีใหม่ ลดลงกว่า 100 จุด วิตกโควิด-การเมือง


. นักลงทุนกังวลแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่-ตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งไม่หยุด
. ชาวอเมริกันจับตาสภาคองเกรสสหรัฐประกาศชื่อผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 6 ม.ค.นี้
.ตลาดหุ้นได้แรงหนุนมาตการให้เงินช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบโควิด-19

เมื่อเวลา 22.05 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 30,444.53 จุด ลดลง 161.95 จุด หรือ -0.53% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 12,867.31 จุด ลดลง 20.97 จุด หรือ -0.16%ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,742.21 จุด ลดลง 13.86 จุด หรือ -0.37%

นักลงทุนยังคงกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ทั้งในอังกฤษ และแอฟริกาใต้ โดยล่าสุด Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทะลุ 21,113,528 ราย และมีผู้เสียชีวิต 360,078 ราย โดยสหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต

ขณะเดียวกัน ชาวอเมริกันและผู้คนทั่วโลกกำลังจับตาสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งจะทำการประกาศชื่อผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันพุธที่ 6 ม.ค โดยผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไม่น้อยกว่า 270 เสียง จากทั้งหมด 538 เสียง จะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ก่อนที่จะเข้าทำพิธีสาบานตนในวันที่ 20 ม.ค.

ล่าสุด สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐ 11 รายจากพรรครีพับลิกัน ภายใต้การนำของนายเท็ด ครูซ วุฒิสมาชิกรัฐเท็กซัส ได้รวมตัวกันประกาศจุดยืนคัดค้านการรับรองชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของนายไบเดน พร้อมกับเรียกร้องให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการโกงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

ขณะที่มีข่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ จะยุติการซื้อขายหุ้น 3 บริษัทเทเลคอมของจีน คือ China Mobile (CHL), China Telecom (CHA) and China Unicom (CHU) ในวันที่ 11 ม.ค.นี้ ส่งผลให้การซื้อขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีมีความผันผวน

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นยังมีแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้มาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงิน พร้อมกับอัดฉีดเม็ดเงินจำนวนมากเข้าตลาด เพื่อช่วยเหลือเยียวยาชาวสหรัฐและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยนักวิเคราะห์คาดว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะยังคงปรับตัวขึ้นในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นทางการเงินและการคลังของสหรัฐ รวมทั้งการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในวงกว้าง