ดาวโจนส์เคลื่อนไหวลดลงกว่า 80 จุด กังวลดอกเบี้ย-ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ

.นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) 13-14 ธ.ค.นี้

.นักวิเคราะห์กังวลเฟดเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลเศรษฐกิจปีหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอย

.มีแรงเทขายหุ้นลดความเสี่ยง ตลาดจับตาภาวะเศรษฐกิจ-กำไรบริษัทจดทะเบียน

เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ระดับ 33,861.64 จุด ลดลง
85.46 จุด หรือ -0.25% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 11,121.10 จุด ลดลง 118.84 จุด หรือ -1.06% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ระดับ 3,973.75 จุด ลดลง 25.09 จุด หรือ -0.63%

นักลงทุนยังคงขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง แต่ขายในอัตราที่ชะลอลง ตลาดยังคงกังวลว่า ตลาดแรงงานและภาคบริการที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยติดตามการประชุมเฟดในวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้จากต่างประเทศ

นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทะลุ 5.0% ในกลางปีหน้า หลังการเปิดเผยรายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่ง แม้เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ถึง 4 ครั้งติดต่อกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟดในช่วงที่ผ่านมายังคงไม่สามารถสกัดความร้อนแรงของตลาดแรงงาน ทำให้มีการคาดการณ์ว่าเฟดจะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปในปีหน้าเพื่อทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงและสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ

FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า ขณะนี้นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่กรอบ 5.00-5.25% ในเดือนพ.ค.2566 หลังจากก่อนหน้านี้คาดการณ์ที่ระดับ 4.75-5.00%

นอกจากนั้น นักลงทุนยังคงกังวล และจับตาภาวะเศรษฐกิน หลัง ซีอีโอ “เจพีมอร์แกน” นายเจมี ไดมอน ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐ กล่าวเตือนว่าเงินเฟ้ออาจฉุดให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า “เงินเฟ้อกำลังกัดกร่อนทุกสิ่ง คิดเป็นมูลค่าราว 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ในกลางปีหน้า ซึ่งอาจฉุดเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย … แม้ว่าขณะนี้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจต่างๆยังคงอยู่ในสภาวะที่ดี แต่สิ่งนี้อาจดำเนินต่อไปได้ไม่นาน”