ดาวโจนส์ร่วงกว่า 70% กังวลน้ำมันแพงดันเงินเฟ้อพุ่ง

.นักลงทุนกังวลต่อการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ ทำให้ขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง
.ตลาดติดตามเศรษฐกิจจีนซบ-ธนาคารกลางอังกฤษจ่อขึ้นดอกเบี้ย หาทิศทางการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก
.นักลงทุนจับตาการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้

เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวที่ระดับ 35,222.31 จุด ลดลง 72.45 จุด หรือ -0.21% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 14,930.42 จุด เพิ่มขึ้น 33.08 จุด หรือ +0.22% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 4,473.05 จุด เพิ่มขึ้น 1.68 จุด หรือ +0.04%

ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน โดยดัชนีดาวโจนส์ถูกกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ และภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI พุ่งขึ้นกว่า 1% เหนือระดับ 83 ดอลลาร์ ทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปี ขานรับอุปสงค์ที่พุ่งขึ้นในตลาด ส่งผลนักลงทุนกังวลต่อการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อจากการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน

ขณะที่การดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐยังเป็นอีกปัจจัยลบ ขณะที่การเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ที่ต่ำกว่าคาดของจีน ทำให้หลายฝ่ายกังวลการฟื้นตัวที่ช้าล่า และน้อยกว่าที่คาดของจีนจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกในระยะต่อไป

นอกจากนั้น ตลาดยังจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ หรือ BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายการเงินทั้งในเดือนพ.ย.และธ.ค. รวมทั้งจะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นต่อไปในปีหน้า หลังจากที่นายแอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการ BoE ส่งสัญญาณบ่งชี้ว่า BoE มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อรับมือกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น

นักลงทุนติดตามรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ หลังการเปิดเผยผลประกอบการของกลุ่มธนาคารที่แข็งแกร่งในสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม บริษัทจำนวน 41 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาส 3 แล้ว โดย 80% จากจำนวนดังกล่าว ต่างก็มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจดทะเบียนจะมีการขยายตัวของกำไรในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นถึง 30% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวของกำไรรายไตรมาสสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่ปี 2553