ดาวโจนส์พุ่งขึ้น 500 จุด คาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ใกล้คลอด

  • ทรัมป์ ยืนยันไม่มีล็อกดาวน์รอบ 2 แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเกิน 7.3 ล้านคนแล้ว
  • มีแรงซื้อหุ้นกลับเข้ามาในกลุ่มเทคโนโลยี ธนาคาร หุ้นที่ได้รับผลดีเปิดเศรษฐกิจ
  • นักลงทุนจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ คาดทรัมป์แพ้หุ้นแกว่งแดนลบ

เมื่อเวลา 21.20 .ตามเวลาประเทศไทย ตลาดหุ้นสหรัฐเคลื่อนไหวเเพ่มขึ้นแรง ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์เคลื่อนไหวที่ 27,674.42 เพิ่มขึ้น 500.46 จุด หรือ +1.84% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 11,086.41 จุด เพิ่มขึ้น172.84 จุด หรือ +1.58% ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 อยู่ที่ระดับ 3,353.87 จุด เพิ่มขึ้น 55.41 จุด +1.68%

มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและธนาคารส่งผลให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น  ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น สายการบิน ค้าปลีก และธุรกิจเรือสำราญ ต่างก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน 

นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่มีการสั่งล็อกดาวน์สหรัฐเป็นรอบที่ 2  ขณะที่เริ่มเห็นความคืบหน้าในการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวในการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ เพื่อเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 โดยคาดว่าจะสามารถออกได้เร็วๆ นี้ เนื่องจากเป็นช่วงใกล้สู่การเลือกตั้งประธานาธิบดี

ทั้งนี้ Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่าสหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จำนวน 7,321,465 ราย และมีผู้เสียชีวิต 209,454 ราย

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าการซื้อขายในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะประสบความผันผวนในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนจับตาการดีเบตรอบแรกระหว่างคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งได้แก่ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ จากพรรคเดโมแครต ในวันพรุ่งนี้ เวลา 21.00 .ตามเวลาสหรัฐหรือตรงกับเช้าวันพุธ เวลา 08.00 .ตามเวลาไทย

โดยหากทรัมป์มีคะแนนนำในการดีเบตดังกล่าว ก็จะส่งผลให้หุ้นในกลุ่มเชื้อเพลิงฟอสซิล และบริษัทผลิตอาวุธดีดตัวขึ้น และหากไบเดนมีคะแนนนำในการดีเบต ก็จะทำให้หุ้นในกลุ่มที่มีการค้าทั่วโลก และกลุ่มพลังงานหมุนเวียนปรับตัวขึ้น ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายจะต้องแสดงวิสัยทัศน์ใน 6 หัวข้อ ได้แก่ ชีวิตประวัติศาลฏีกาสหรัฐโควิด-19, เศรษฐกิจเชื้อชาติและความรุนแรงในเมืองต่างๆของสหรัฐ รวมทั้งความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง โดยแต่ละหัวข้อจะใช้เวลาอภิปราย 15 นาที

หลังจากนั้นในวันที่ 7 ..จะเป็นการดีเบตกันระหว่างนายไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน และนางคามาลา แฮร์ริส ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ตามมาด้วยการดีเบตรอบ 2 ระหว่างทรัมป์และไบเดน ในวันที่ 15 ..ส่วนการดีเบตรอบ 3 ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของทั้ง 2 คนจะมีขึ้นในวันที่ 22 .เพื่อให้ชาวอเมริกันทำการตัดสินใจครั้งสุดท้ายก่อนไปหย่อนบัตรลงหีบเลือกตั้งในวันที่ 3 ..

ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ทรัมป์เสียเปรียบไบเดนทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจสหรัฐที่ย่ำแย่ และเรื่องโควิด-19 ที่ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังคงพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งดูเหมือนทรัมป์ก็รู้ตัวว่าเพลี่ยงพล้ำในประเด็นดังกล่าว โดยผลสำรวจของสำนักโพลล์ต่างๆล้วนฟันธงว่าไบเดนกำลังมีคะแนนนำทรัมป์ แต่การที่สหรัฐตัดสินผู้ชนะจากคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง(electoral vote) ไม่ใช่คะแนนดิบจากผู้ลงคะแนนทั่วประเทศ (popular vote) ก็อาจทำให้ทรัมป์สร้างปาฏิหาริย์ได้อีกครั้งเหมือนที่เคยทำไว้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

อย่างไรก็ตาม คาดกันว่าตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะทรุดตัวลง หากไบเดนคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 .จากการที่ไบเดนมีนโยบายเพิ่มภาษีคนรวยเพื่อช่วยคนจน โดยเขาจะยกเลิกมาตรการปรับลดอัตราภาษีของทรัมป์ ด้วยการปรับขึ้นอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสู่ระดับ 28% จากเดิมที่ทรัมป์ปรับลดจาก 35% สู่ระดับ 21% ในปัจจุบัน นอกจากนี้ ไบเดนจะปรับเพิ่มภาษีของครัวเรือนที่มีรายได้มากกว่า 400,000 ดอลลาร์ต่อปี โดยมีการคาดการณ์ว่าการปรับขึ้นภาษีดังกล่าวจะช่วยให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มขึ้น 4 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลา 10 ปี แต่เพิ่มการลดหย่อนภาษีสำหรับชนชั้นกลาง และให้เงินอุดหนุนภาษีสำหรับการเลี้ยงดูบุตรมากขึ้น