ดาวโจนส์ปิดลบ157จุด นักลงทุนขายรอดูผลเลือกตั้ง-การแก้ปัญหา โควิด


.ตลาดจับตาผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 3พ.ย.
.ยุโรปแห่ล็อกดาวน์รอบใหม่ ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐที่พุ่งทำลายสถิติรายวัน
.นักลงทุนเทขายหุ้นหลังมองความเสี่ยงเพิ่มขึ้นทั้งการเมือง-เศรษฐกิจ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 30 ต.ค.ที่ 26,501.60 จุด ลดลง 157.51 จุด หรือ -0.59%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,269.96 จุด ลดลง 40.15 จุด หรือ -1.21% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 10,911.59 จุด ลดลง 274.00 จุด หรือ -2.45%

นักลงทุนเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงหลังมองว่า ปัจจัยเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีความไม่แน่นอนมากขึ้น ขณะที่ชัดเจนแล้วว่า จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเเศรษฐกิจรอบใหม่ก่อนการเลือกตั้ง

ดัชนีความผันผวน (CBOE volatility index) แตะระดับสูงสุดในรอบ 20 สัปดาห์ ซึ่งเป็นสัญญานบ่งชี้ความวิตกของนักลงทุนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันอังคารหน้า

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังมีคะแนนนิยมตามหลังนายโจ ไบเดน ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครตในโพลหลายสำนักมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แต่คะแนนก็สูสีกันมากขึ้นในรัฐที่มีการแข่งขันมากที่สุดซึ่งอาจกำหนดผลการเลือกตั้ง

ตลาดหุ้นยังกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกิน 9.2 ล้านรายแล้ว โดยจำนวนผู้ติดเชื้อทั่เพิ่มขึ้นใหม่สูงทำลายสถิติรายวันต่อเนื่อง รวมทั้งแนวโน้มการคุมเข้มข้อจำกัดมากขึ้นเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในยุโรปนั้น ทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ขณะเดียวกัน ยังมีแรงขายหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ๆ หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังและราคาหุ้นได้เพิ่มขึ้นไปแล้วในช่วงก่อนหน้า โดยหุ้นแอปเปิล ร่วง 5.60% หลังเปิดเผยยอดขาย iPhone ลดลงรุนแรงที่สุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากการเปิดตัวโทรศัพท์ระบบ 5G เป็นไปอย่างล่าช้า

หุ้นแอมะซอน ร่วง 5.45% หลังคาดว่าต้นทุนการดำเนินงานที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19 นั้นจะพุ่งสูงขึ้น ขณะที่หุ้นเฟซบุ๊ก ร่วงลง 6.31% หลังเตือนเกี่ยวกับแนวโน้มผลประกอบการในปีหน้า

หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 21.11% หลังรายงานว่า จำนวนผู้ใช้งานน้อยกว่าคาด และเตือนว่าการเลือกตั้งสหรัฐอาจกระทบรายได้จากการโฆษณา

อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มบริการด้านการสื่อสารได้แรงหนุนจากหุ้นอัลฟาเบท อิงค์ที่พุ่งขึ้น 3.80% หลังเปิดเผยยอดขายรายไตรมาสสูงเกินคาด เนื่องจากธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาทำการโฆษณา

อย่างไรก็ตาม ด้านข้อมูลเศรษฐกิจยังออกมาในเชิงบวก โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.0% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.0% ในเดือนส.ค.

ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากดีดตัวขึ้น 0.3% ในเดือนส.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนก.ย. หลังจากเพิ่มขึ้น 1.4% เช่นกันในเดือนส.ค.

ดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนก.ย. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานดีดตัวขึ้น 1.5% ในเดือนก.ย.

ส่วนผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 81.8 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 81.2 จากระดับ 80.4 ในเดือนก.ย.