ดาวโจนส์ปิดร่วงลง461จุด พบผู้ติดโอไมครอนรายแรกในสหรัฐ

.นักลงทุนตื่นตระหนกเทชายหุ้นอีกรอบดัชนีร่วงยกแพง
.สหรัฐฯพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรก
.การจ้างงานของภาคเอกชนเพิ่มขึ้น 534,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่านักวิเคราะห์คาด

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 1ธ.ค.ที่ 34,022.04 จุด ลดลง 461.68 จุด หรือ -1.34%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 4,513.04 จุด ลดลง 53.96 จุด หรือ -1.18% และดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 15,254.05 จุด ลดลง 283.64 จุด หรือ -1.83

ตลาดหุ้นสหรัฐผันผวน โดยช่วงแรกมีแรงซื้อหุ้นกละบเข้ามาในตชาด แต่หลังจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐยืนยันว่า พบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนรายแรกในสหรัฐเมื่อวานนี้ (1 ธ.ค.) โดยผู้ติดเชื้อรายนี้เดินทางกลับจากแอฟริกาใต้ และได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว แต่ไม่ได้ฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ ตลาดหุ้นสหรัฐกลับมาดิ่งลงทันที

ทางด้านนายแพทย์แอนโทนี เฟาชี แพทย์ใหญ่ประจำคณะทำงานด้านการควบคุมโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น จึงจะทราบว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนสามารถแพร่ระบาดจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ง่ายเพียงใด, ไวรัสจะก่อให้เกิดโรคที่รุนแรงมากเพียงใด และไวรัสสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้หรือไม่

หุ้นกลุ่มสายการบิน,กลุ่มเรือสำราญ และกลุ่มโรงแรม ร่วงลงทันทีหลังมีรายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโอไมครอนรายแรกในสหรัฐ โดยหุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ ร่วงลง 7.94% หุ้นเดลตา แอร์ไลน์ ดิ่งลง 7.38% หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 7.57% หุ้นคาร์นิวัล คอร์ป ร่วงลง 6.98% หุ้นรอยัล คาริบเบียน ครูซ ร่วงลง 8.13% หุ้นไฮแอท โฮเทลส์ คอร์ปอเรชั่น ลดลง 1.19% หุ้นแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ร่วงลง 3.43% หุ้นฮิลตัน เวิลด์ไวด์ โฮลดิ้ง ร่วงลง 3.78%

หุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกถูกเทขายเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโอไมครอนเช่นกัน โดยหุ้นวอลมาร์ท ร่วงลง 2.47% หุ้นเบสต์บาย ดิ่งลง 4.23% หุ้นเมซีส์ ร่วงลง 4.63% หุ้นทาร์เก็ต ลดลง 1.46% หุ้นนอร์ดสตรอม ดิ่งลง 5.38%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารร่วงลงอย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 2.55% หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ (เฟซบุ๊ก) ดิ่งลง 4.27% หุ้นแอปเปิล ลดลง 0.32% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.76%

หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค ปรับตัวลง 0.56% หลังจากคณะกรรมการที่ปรึกษาของสำนักงานอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญที่เป็นบุคคลภายนอก ลงมติอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ของบริษัทเมอร์คในการรักษาโรคโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯมีมติด้วยคะแนนเฉียดฉิว คือ 13 ต่อ 10 เสียง เนื่องจากมีกรรมการหลายคนแนะนำให้ทบทวนการใช้ยาดังกล่าวเป็นกรณีฉุกเฉิน หรืออาจถึงขั้นถอนการอนุมัติการใช้ยา หากพบว่ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าในการรักษา

ด้านข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐยังออกมาดี สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 61.1 ในเดือนพ.ย. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 61.0 จากระดับ 60.8 ในเดือนต.ค.

ทางด้านออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น 534,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 506,000 ตำแหน่ง แต่ต่ำกว่าระดับ 570,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.