ดาวโจนส์ปิดบวกนักลงทุนเต็งเฟดลดดอกเบี้ย ในการประชุมเดือนนี้

  • รับตัวการจ้างงาน มิ.ย.ต่ำกว่าคาด
  • “ทรัมป์”ขู่ “มีอำนาจไล่ออกประธานเฟด”
  • หุ้นเทสลาสดใสรับยอดขายดีขึ้น

ดัชนีดาวโจนส์เปิดตลาดเป็นบวก นักลงทุนคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจออกมาไม่ดี ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกดดันนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ให้กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

เมื่อเวลาประมาณ 22.05 น.ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ซื้อขายที่ 26,871.86 จุด +85.18 จุดหรือ +0.32% ซึ่งเป็นการสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้งระหว่างการซื้อขาย คงต้องลุ้นว่าจะยืทำลายสถติได้จนถึงช่วงปิดตลาดหรือไม่ ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เปิดทำลายสถิติต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 โดยอยู่ที่ 2,986.41 จุด +13.40 จุดหรือ+0.45%
ด้านดัชนีแนสแด็ก อยู่ที่8,151.26 จุด เพิ่มขึ้น+42.16 จุด หรือ +0.52%

ทั้งนี้ ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ ระบุว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 102,000 ตำแหน่งในเดือน มิ.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 135,000 ตำแหน่ง ตัวเลขดังกล่าวทำให้นักลงทุนเห็นแรงกดดันในการลดดอกเบี้ยของเฟดที่ชัดเจนขึ้น

นางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟด สาขาคลีฟแลนด์ เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า เฟดจะต้องมีมีข้อมูลมากขึ้นที่แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังปรับตัวอ่อนแออย่างแท้จริงเพื่อลดดอกเบี้ย “หากมีการเปิดเผยรายงานการจ้างงานที่อ่อนแอต่อไปอีก รวมทั้ง มีการลดลงของตัวเลขภาคการผลิต การใช้จ่ายของภาคธุรกิจ และการคาดการณ์เงินเฟ้อ สิ่งนี้ก็จะทำให้มีเหตุผลหนักแน่นมากขึ้นที่แสดงว่า สหรัฐกำลังมีการขยายตัวที่อ่อนแอ ซึ่งสมควรได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจ”

ดังนั้น เมื่อตัวเลขที่ออกมาไม่ดี ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนนี้

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงขู่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ถึง “อำนาจที่เขามี ที่สามารถจะปลดประธานเฟดได้” หากมองว่าเฟดเป็นตัวการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง

อย่างไรก็ตาม หุ้นเทสลาปรับตัวขึ้นโดดเด่นราว 6% หลังบริษัท เทสลา อิงค์ เผยทำสถิติส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าได้สูงเป็นประวัติการณ์ในไตรมาส 2ของปีนี้ โดยสามารถส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้ารุ่น 3S จำนวน 77,550 คันในไตรมาส 2 ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์ประมาณการไว้ที่ 73,144 คัน