ดาวโจนส์ปิดตลาดบวก162จุด ผลประกอบการบริษัทออกมาดีกว่าคาดช่วยหนุนตลาด

  • นักลงทุนซื้อหุ้นสะสมในบริษัทที่ประกาศผลประกอบการไตรมาส2ดีกว่าคาด
  • ตลาดจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) สัปดาห์หน้า
  • ตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 21 ก.ค.ที่ 32,036.90 จุด เพิ่มขึ้น 162.06 จุด หรือ +0.51%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,998.95 จุด เพิ่มขึ้น 39.05 จุด หรือ +0.99% ส่วนดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิสปิดที่ 12,059.61 จุด เพิ่มขึ้น 161.96 จุด หรือ +1.36%

นักลงทุนยังคงซื้อหุ้นตามผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด โดยล่าสุดเทสลา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2565 อยู่ที่ 2.27 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.81 ดอลลาร์ โดยข่าวดังกล่าวช่วยหนุนราคาหุ้นเทสลาปิดตลาดพุ่งขึ้น 9.78%

ผลประกอบการที่ดีเกินคาดของเทสลายังช่วยหนุนหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตสูง (Growth Stocks) เช่นหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย โดยหุ้นแอปเปิล ดีดขึ้น 1.51% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 0.95% หุ้นแอมะซอน พุ่งขึ้น 1.52% หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ ปรับตัวขึ้น 0.48% หุ้นไนกี้ บวก 0.50%

หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 2.27% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค เพิ่มขึ้น 0.57% หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ บวก 0.58% หุ้นบริสตอล-ไมเยอร์ส สควิบบ์ เพิ่มขึ้น 0.30%

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงกว่า 3% อันเนื่องมาจากข่าวที่ว่ารัสเซียได้กลับมาส่งก๊าซให้แก่ยุโรปแล้วเมื่อวานนี้ โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 1.68% หุ้นเชฟรอน ลดลง 0.76% หุ้นไดมอนด์แบค เอนเนอร์จี ดิ่งลง 2.36% หุ้นฮัลลเบอร์ตัน ร่วงลง 3.83% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ลดลง 1.96%

หุ้นยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ดิ่งลง 10.17% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 อยู่ที่ 1.43 ดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.95 ดอลลาร์ ขณะที่นายสก็อตต์ เคอร์บี ซีอีโอของยูไนเต็ด แอร์ไลน์กล่าวว่า บริษัทอาจเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงในอีก 6-18 เดือนข้างหน้านี้ ซึ่งรวมถึงราคาเชื้อเพลิงที่สูงเป็นประวัติการณ์ และความเป็นไปได้ที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญภาวะถดถอย

นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ช่วงปลายเดือนนี้ โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 30.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค. และให้น้ำหนัก 69.1% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75%

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผย GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐในสัปดาห์หน้าเช่นกัน ขณะที่เฟดสาขาแอตแลนตาเปิดเผยแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดซึ่งแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 1.6% ในไตรมาส 2 จากเดิมที่คาดการณ์ในวันที่ 15 ก.ค.ว่ามีแนวโน้มหดตัว 1.5%

ด้านตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มแสดงอาการชะลอตัวต่อเนื่อง กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 7,000 ราย สู่ระดับ 251,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2564 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 240,000 ราย

ขณะที่เฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ดิ่งลงสู่ระดับ -12.3 ในเดือนก.ค. หลังจากแตะระดับ -3.3 ในเดือนมิ.ย. โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่