ดัชนีดาวโจนส์ เปิดแกว่งตัวแคบๆ ในแดนลบ จับตาไวรัสโควิด-19 กระทบเศรษฐกิจ

  • นักลงทุนรอดูผลกระทบไวรัสโควิด -19 ต่อเศรษฐกิจโลก
  • ตลาดยังไม่ชัดเจนการแพร่ระบาดผ่านจุดสูงสุดแล้วหรือไม่
  • ตัวเลขการว่างงานใหม่ยังเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาด

เมื่อเวลาประมาณ 21.55 น.ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เคลื่อนไหวอยู่ที่ 29,332.48 จุด ลดลง 15.55 จุด หรือ -0.05% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส เคลื่อนไหวที่ 9,811.13 จุด ลดลง 6.05 จุด หรือ -0.06%ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เคลื่อนไหวที่ 3,381.12 จึด ลดลง 5.03 จุด หรือ-0.15%

หลังจากการปรับเพิ่มขึ้นในวันก่อนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปืดคลาดแกว่งตัวแคบๆ ในแดนลบ ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 และกังวลต่อผลกระทบจากไวรัสดังกล่าวต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่รอปัจจัยใหม่ที่จะเข้ามาหนุนตลาด

นักลงทุนจับตาพัฒนาการการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 ซึ่งแม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะดีขึ้นบ้าง แต่ในขณะนี้ยังไม่เแน่ใจว่าผ่านจุดสูงสุดของการแพร่ระบาดไปหรือยัง ดังนั้น แม้ว่า ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดี (LPR) ระยะเวลา 1 ปีในวันนี้ โดยปรับลดลง 0.10% สู่ระดับ 4.05% และปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ระยะ 5 ปี ลง 0.05% สู่ระดับ 4.75% เพื่อรับมือผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

แต่เอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ ยังออกรายงานเตือนว่าภาคธนาคารของจีนอาจได้รับผลกระทบจากหนี้เสียสูงถึง 1.1 ล้านล้านดอลลาร์จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า นักลงทุนกำลังประเมินผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่ำเกินไป โดยตลาดหุ้นมีความเสี่ยงอย่างมากที่จะเผชิญกับการปรับฐาน

นักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น โดยสมาคมแลกเปลี่ยนทองคำและเงินของจีน เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ตลาดฮ่องกงปิดปรับตัวขึ้น 30 ดอลลาร์ฮ่องกง แตะที่ระดับ 14,930 ดอลลาร์ฮ่องกง/ตำลึงในวันนี้ ซึ่งราคาดังกล่าวเทียบเท่ากับ 1,919.02 ดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด 1 ดอลลาร์สหรัฐ/7.78 ดอลลาร์ฮ่องกง

ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐยังออกมาดี โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 4,000 ราย สู่ระดับ 210,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ ขณะที่จำนวนชาวอเมริกันที่ยังคงขอรับสวัสดิการว่างงานต่อเนื่องในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.พ. มีจำนวนเพิ่มขึ้น 25,000 ราย สู่ระดับ 1.73 ล้านราย