ดัชนีดาวโจนส์ พุ่งแรงกว่า 337 จุด ขานรับตัวเลขว่าง งาน ต่ำสุดรอบ 50 ปี-ความ เชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่ม

  • นักลงทุนมองเศรษฐกิจสหรัฐยังโตต่อได้ หลังตัวเลขว่างงานลดต่ำกว่าคาด
  • ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐ ธ.ค.ขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือน
  • หุ้นกลุ่มพลังงานดีดขึ้น 2% ช่วยหนุนตลาด รับข่าวกลุ่มโอเปกลดกำลังการผลิตน้ำมัน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 6 ธ.ค.วันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ 28,015.06 จุด เพิ่มขึ้น 337.27 จุด หรือ +1.22%, ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,145.91 จุด เพิ่มขึ้น 28.48 จุด หรือ +0.91% ด้านดัชนีแนสแด็ก คอมโฑซิท ปิดที่ 8,656.53 จุด พุ่งขึ้น 85.83 จุด หรือ +1.00%

นักลงทุนขานรับความคาดหวังที่ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯยังขยายตัวได้ดี แม้จะได้รับผลจาดสงครามการค้า โดยดัชนีตอบรับการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่เพิ่มขึ้น 266,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์
ไว้ที่ระดับ 187,000 ตำแหน่ง

ขณะที่อัตราการว่างงานลดลงสู่ระดับ 3.5% ในเดือนพ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี จากระดับ 3.6% ในเดือนต.ค.

ขณะที่ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 99.2 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 97.0 หลังจากแตะระดับ 96.8 ในเดือนพ.ย.

ขณะที่บรรยากาศของการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐลดความตึงเครียดลง เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ให้สัมภาษณ์ว่า ยังมีการเจรจาระหว่างสหรัฐและจีนอยู่ และเป็นไปด้วยดี สวนทางกับที่เคยให้สัมภาษณ์ก่อนหน้าว่า จะรอทำข้อตกลงการค้ารอบใหม่หลังการเลือตั้งครั้งหน้า รวมทั้งกรณีที่ทางการจีนจะมีการยกเว้นภาษีถั่วเหลืองและเนื้อหมูบางส่วนที่นำเข้าจากสหรัฐ

ขณะที่นายแลร์รี่ คุดโลว์ หัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวก็ได้เปิดเผยในวันศุกร์ว่า สหรัฐและจีนใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงทางการค้า ขณะที่การเจรจาเป็นไปอย่างสร้างสรรค์ และไม่มีการกำหนดเส้นตาย อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตาวันที่ 15 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นวันสำคัญที่สหรัฐกำหนดจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้นว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่

หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2% ประเทศรับข่าวที่กลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตรมีมติปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันอีก 500,000 บาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นการปรับลดกำลังการผลิตมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ รวมเป็น 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน ในช่วงเดือนม.ค.-มี.ค. 2563 จากเดิมที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เมื่อคืนที่ผ่านมา

โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า สหรัฐจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นจากการปรับลดกำลังการผลิตดังกล่าว โดยขณะนี้สหรัฐเป็นประเทศที่ผลิตน้ำมันมากที่สุดในโลก ขณะที่มีการผลิต 12.3 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากระดับ 11 ล้านบาร์เรล/วันในปีที่แล้ว โดยผลิตน้ำมันมากกว่าซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล บวก 1.61% และหุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.44%

สำหรับหุ้นบวกนำตลาดได้แก่หุ้น 3M และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ซึ่งพุ่งขึ้น 4.32% และ 3.44% ตามลำดับ โดยหุ้น 3M พุ่งขึ้น หลังสำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า บริษัทกำลังพิจารณาการขายธุรกิจระบบขนส่งเวชภัณฑ์ซึ่งอาจทำรายได้ประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่หุ้นเทสลา บวก 1.7% หลังเปิดเผยว่า บริษัทจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลจีนสำหรับการผลิตรถยนต์รุ่น Model 3 ในจีน