ดัชนีดาวโจนส์ปิดลบ 697 จุด กังวลผลประกอบการอ่อนแอ-เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ยนานกว่าคาด

.นักลงทุนเทขายหุ้น ดัชนีร่วงแรงสุดกว่า3เดือน หลังมองปัจจัยลบท่วมตลาด

.ตลาดกังวลเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย-ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาแย่กว่าคาด

.อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10ปีทำนิวไฮ กดหุ้นกลุ่มเติบโตร่วง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดตลาดวันที่ 21ก.พ.ที่ 33,129.59 จุด ร่วงลง 697.10 จุด หรือ -2.06% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,997.34 จุด ลดลง 81.75 จุด หรือ -2.00% ส่วน
ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิส ปิดที่ 11,492.30 จุด ดิ่งลง 294.97 จุด หรือ -2.50%

ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลงแรงที่สุดรายวันนับจากวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา นักลงทุนยังคงขายหุ้นออกมาต่อเนื่องเพื่อลดคงามเสี่ยงหลังมองว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)ยังต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เนื่องจากภาพรวมเงินเฟ้อยังไม่ลดลงอย่างที่คาด และตัวเลขการผลิตและตลาดแรงงานเข้มแข็ง อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และการชะลอของเศรษฐกิจเริ่มกระทบผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกให้ออกมาดีน้อยกว่าคาด

ทั้งนี้ เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นเดือนก.พ.ของสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 50.2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน จากระดับ 46.8 ในเดือนม.ค. โดยดัชนีที่สูงกว่าระดับ 50 บ่งชี้ว่าภาคธุรกิจของสหรัฐมีการขยายตัวและอาจส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้

โดยโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% อีก 3 ครั้งในปีนี้ สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมี.ค., พ.ค. และมิ.ย. ครั้งละ 0.25% สู่ระดับสูงสุดที่ 5.25-5.50% และตรึงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับดังกล่าว ก่อนที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนธ.ค.

ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 3.95% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. 2565 เมื่อคืนนี้ และเป็นปัจจัยฉุดหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย อีกทั้งต้องพึ่งพาผลกำไรและการเติบโตในอนาคต โดยอัลฟาเบท ดิ่งลง 2.71% หุ้นแอปเปิ้ล ร่วงลง 2.67% หุ้นอะเมซอน ร่วงลง 2.7% หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 2.09% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 3.01% หุ้นอินวิเดีย ดิ่งลง 3.43%

หุ้นเมตา แพลทฟอร์มส์ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ปรับตัวลง 0.46% หลังจากบริษัทประกาศเปิดตัวบริการสมัครสมาชิกแบบชำระเงินในชื่อ “Meta Verified” โดยจะมีฟีเจอร์และสิทธิพิเศษเพิ่มเติมให้ เช่น มีเครื่องหมายยืนยันตัวตน และเพิ่มการมองเห็น ซึ่งบริการดังกล่าวมีราคาอยู่ที่ 11.99 ดอลลาร์ต่อเดือน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักคือคอนเทนต์ครีเอเตอร์

หุ้นเทสลา ร่วงลง 5.25% หลังจากสำนักงานความปลอดภัยด้านการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติสหรัฐ (NHTSA) มีคำสั่งให้บริษัทเทสลาเปิดเผยข้อมูลเพิ่มเติม จากกรณีรถยนต์ของเทสลาคันหนึ่งพุ่งชนรถดับเพลิงในเมืองซานฟรานซิสโก

นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทค้าปลีก โดยโฮม ดีโปท์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐเปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้ในไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ 3.583 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.597 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้ราคาหุ้นโฮม ดีโปท์ปิดตลาดร่วงลง 7.06%

ขณะที่หุ้นวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลก กลับมาปิดเพิ่มขึ้น 0.61% จากที่ลดลงในช่วงแรกหลังจากเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 4/2565 อยู่ที่ 1.6405 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 1.5972 แสนล้านดอลลาร์ แต่บริษัทเปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี 2566 ที่ต่ำกว่าคาด

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมเฟดประจำวันที่ 31 ม.ค.-1 ก.พ.ในวันนี้ (22 ก.พ.) ตามเวลาสหรัฐ รวมทั้งดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนม.ค.ในวันศุกร์ที่ 24 ก.พ. เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด