ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดบวกต่อ 42 จุดเชื่อมั่นเศรษฐกิจสหรัฐฯขยายตัว ต่อเนื่อง

  • สหรัฐปรับคาดการณ์การขยายตัวไตรมาส 3 เป็น 2.1%
  • รายงานเฟดชี้ แนวโน้มการเติบโตยังเป็นบวก-ตลาดแรงงานตึงตัว
  • นักลงทุนจับตาท่าทีจีน หลังทรัมป์ลงนามร่างกฎหมายหนุนประชาธิปไตยในฮ่องกง

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ยังคงเดินหน้าทำลายสถิติสูงสุดเป็นวันที่ 3 ก่อนที่จะปิดทำการในวันขอบคุณพระเจ้าในวันพรุ่งนี้ (28 พ.ย.) แม้นักลงทุนยังคงสับสนกับปัจจัยที่กระทบตลาด โดยมีเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ยังขยายตัวแข็งแกร่งเป็นแรงหนุน ปิดตลาดวันที่ 27 พ.ย.ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ อยู่ที่ 28,164.00 จุด เพิ่มขึ้น 42.32 จุด หรือ+0.15% ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 3,153.63 จุด เพิ่มขึ้น 13.11จุดหรือ+0.42% ดัชนีแนสแด็ก คอมโพซิท ปิดที่ 8,705.18 จุด เพิ่มขึ้น 57.24จุด หรือ+0.66%

ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยเมื่อคืนนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2562 ที่ระดับ 2.1% สูงกว่าตัวเลขประมาณการครั้งแรกที่ระดับ 1.9% โดยได้แรงหนุนจากมูลค่าของสินค้าคงคลังและการลงทุนในโครงสร้างที่ได้รับการปรับทบทวนเพิ่มขึ้น

ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจ ขยายตัวที่ 2.9% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งแรก การลงทุนในภาคธุรกิจดีขึ้น โดยคาดว่าจะลดลง 1% จากเดิมที่ระบุว่าลดลง 1.3% ด้านการส่งออกขยายตัวเร็วขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 0.9% และการนำเข้าขยายตัว 0.8% ดีกว่ารายงานเบื้องต้นที่ระบุว่าขยายตัว 0.4%

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ปรับตัวขึ้น 0.6% ในเดือนต.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะร่วงลง 1.1% หลังจากที่ทรุดลงถึง 1.4% ในเดือนก.ย.

ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งทรงตัวจากระดับเดือนก.ย. ขณะที่ดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบรายปี

ขณะที่รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ “Beige Book” ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวปานกลางในช่วงเดือนต.ค.จนถึงกลางเดือนพ.ย. และแนวโน้มการเติบโตยังเป็นบวก ขณะที่ตลาดแรงงานทั่วประเทศยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว ซึ่งบ่งชี้ว่าแรงงานยังไม่เพียงพอรองรับความต้องการของนายจ้าง

เฟดในหลายเขตรายงานว่า การจ้างงานเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจ้างงานในด้านการบริการทางเทคนิคและสุขภาพ ขณะที่การจ้างงานในภาคผลิตค่อนข้างผันผวน โดยอุตสาหกรรมการผลิตในบางเขตมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ส่วนอีกหลายเขตนั้น ตัวเลขจ้างงานยังคงทรงตัว และมีหนึ่งเขตรายงานว่านายจ้างเลย์ออฟพนักงาน นอกจากนี้ เกือบทุกเขตรายงานว่า การใช้จ่ายผู้บริโภคขยายตัวปานกลาง โดยมีหลายเขตรายงานว่ายอดขายรถยนต์และรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องจับตาความคืบหน้าในการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงยุติสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯอีกครั้งว่าจะเป็นไปในทิศทางใด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ได้ลงนามร่างกฎหมายสนับสนุนการเรียกร้องประชาธิปไตยในฮ่องกง

ทำเนียบขาวออกแถลงการณ์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ลงนามบังคับใช้กฎหมาย “Hong Kong Human Rights and Democracy Act” โดยกฎหมายดังกล่าวจะคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนต้องรับผิดชอบในการทำลายเสรีภาพขั้นพื้นฐานและการปกครองตนเองในฮ่องกง นอกจากนี้ ร่างกฎหมายจะกำหนดให้มีการทบทวนการให้สิทธิพิเศษทางการค้ากับฮ่องกง ภายใต้กฎหมายของสหรัฐ โดยการทบทวนดังกล่าวจะพิจารณาถึงประเด็นที่ว่า ฮ่องกงได้รับอำนาจในการปกครองตนเองอย่างเพียงพอจากจีนหรือไม่ ซึ่งแม้ว่าการตัดสินใจดังกล่าวอาจสร้างความไม่พอใจให้กับจีน