ฑูตเมียนมาประจำยูเอ็นชู 3 นิ้ว ถูกทหารปลดออก ยืนยันทำหน้าที่ต่อ ขณะที่รัฐบาลตั้งรองฑูตทำหน้าที่แทน

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า  ทางองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กำลังสนว่าใครเป็นตัวแทนฑูตของเมียนมาประจำยูเอ็น

‘สเตฟาน ดูจาร์ริค’ โฆษกของยูเอ็นระบุว่าได้รับจดหมายการยืนยันเป็นตัวแทนสองฉบับ

“เรากำลังดูจดหมายเหล่านั้นว่ามาจากไหนและเราจะทำอะไร” เขากล่าว

ทั้งนี้ หลังจาก ‘จอ โม ตุน’ ทูตเมียนมาประจำยูเอ็น เรียกร้องให้ยูเอ็น เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ใช้มาตรการที่จำเป็นทุกทางเพื่อขัดขวางกองทัพเมียนมา และนำประชาธิปไตยกลับคืนสู่ประเทศ พร้อมได้ชูสัญลักษณ์สามนิ้วแสดงอารยะขัดขืนไม่ยอมรับการก่อรัฐประหารของกองทัพเมียนมากลางที่ประชุมด้วย

วันรุ่งขึ้นรัฐบาลทหารของเมียนมาได้ประกาศปลดเขาออกจากต่ำแหน่งทันที แต่วันจันทร์ที่ผ่านมา เขาได้ส่งจดหมายถึงประธานยูเอ็นเพื่อยืนยันว่าเขายังดำรงตำแหน่งอยู่

“ผู้กระทำผิดของการรัฐประหารโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย … ไม่มีอำนาจที่จะต่อต้านอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายของประธานาธิบดีในประเทศของผม” สำข่าวนักเอเอฟพีรายงานจดหมายที่กล่าวถึง อองซาน ซูจี

“ดังนั้นผมต้องการยืนยันกับคุณว่าผมยังคงเป็นตัวแทนถาวรของเมียนมาร์ประจำสหประชาชาติ” เขากล่าวเสริม

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมากระทรวงต่างประเทศของเมียนมาได้ส่งบันทึกไปยังยูเอ็น โดยอ้างว่า ‘จอ โม ตุน’ ทูตเมียนมาประจำยูเอ็นถูกปลดแล้ว

“กระทรวงการต่างประเทศ … จะแจ้งให้ทราบว่าสภาบริหารแห่งรัฐของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาได้ยุติหน้าที่และความรับผิดชอบของเอกอัครราชทูตจอ โม ตุน” บันทึกกล่าว

“ปัจจุบัน ตินหม่องแลง รองทูตผู้แทนถาวรได้รับมอบหมายให้เป็นทำภารกิจถาวรแทน” บันทึกระบุไว้

สำหรับเวทีประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มอาเซียน  เมื่อวันที่ 2 มีนาคมที่ผ่านมา ได้หารือหาหนทางสู่สันติให้เมียนมา ซึ่งเป็นการประชุมออนไลน์ 

รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย เร็ตโน มาร์ซูดี กล่าวว่า การฟื้นฟูประชาธิปไตยสู่เมียนมาเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป และรัฐมนตรีต่างประเทศในกลุ่มอาเซียนส่วนใหญ่เห็นว่า ควรผลักดันให้ปล่อยตัวนางอองซาน ซูจี ผู้นำเมียนมาโดยพฤตินัย และคืนประชาธิปไตยกลับสู่เมียนมา แต่เลี่ยงที่จะกล่าวถึงหรือประณามกองทัพเมียนมา

โดยในแถลงการณ์หลังเวทีประชุมระบุเพียงว่าประชาคมอาเซียนขอให้ทุกฝ่ายใช้ความอดทนอดกลั้นและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงและหาหนทางออกโดยสันติร่วมกันทั้งจากการไกล่เกลี่ยเจรจาบนพื้นฐานของผลประโยชน์ต่อคนในชาติเป็นสำคัญ