ชงครม. 31 มี.ค.นี้ ไฟเขียวงบซื้อหน้ากากอนามัยแจก

  • ย้ำรัฐซื้อแจกโรงพยาบาลทั่วไทยวันละ 1.3 ล้านชิ้น
  • อีก 1 ล้านชิ้น ให้ผู้ว่าทุกจังหวัดแจกจ่ายกลุ่มเสี่ยง
  • ส่วนจะขายห้าง-ร้านสะดวกซื้อหรือไม่ให้ผู้ว่าพิจารณา

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 31 มี..นี้ กระทรวงพาณิชย์ จะเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติงบประมาณที่จะนำมาซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เพื่อนำมาแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลทุกแห่ง ของทุกสังกัดทั่วประเทศ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้กระจายให้ หรือตกวันละประมาณ 1.3 ล้านชิ้นของจำนวนที่ผลิตได้วันละ 2.3 ล้านชิ้น ส่วนอีกวันละ 1 ล้านชิ้น จะซื้อแจกจ่ายให้กับจังหวัดต่างๆ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นผู้พิจารณาว่าสมควรจะแจกจ่ายให้ใครบ้างที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 

ก่อนหน้านี้ ศูนย์บริหารโควิด-19 ได้ตั้งคณะอนุกรรมการ 3 ชุดขึ้นมาดูแลหน้ากากอนามัย โดยหนึ่งในนั้นคือ คณะอนุกรรมการพิจารณาราคากลางหน้ากากอนามัย โดยมีอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธาน เพื่อพิจารณาราคากลางของหน้ากากอนามัย ที่รัฐบาลจะจัดซื้อเพื่อแจกจ่ายให้กับกลุ่มต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาและจะเสนอให้ครม.อนุมัติพรุ่งนี้ (31มี..) ส่วนระยะเวลาในการซื้อแจก จะยาวนานแค่ไหน อยู่ที่การพิจารณาของศูนย์บริหารโควิด-19 ขณะที่ช่องทางการค้าผ่านร้านธงฟ้า ได้ยกเลิกแล้ว ส่วนร้านสะดวกซื้อ ห้างต่างๆ จะยังมีขายอยู่อีกหรือไม่ อยู่ที่การพิจารณาของผู้ว่าราชการแต่ละจังหวัด

ส่วนคณะอนุกรรมการอีก 2 ชุดคือ ชุดที่พิจารณาการกระจายไปสู่ผู้ใช้กลุ่มต่างๆ มีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน และชุดที่พจิารณาการส่งออก มีเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีการ เป็นประธาน อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้กระทรวงพาณิชย์ ได้ขออนุมัติงบประมาณจากครม.กว่า 100 ล้านบาท เพื่อนำมาจ่ายชดเชยต้นทุนให้กับผู้ผลิตหน้ากากอนามัยไปแล้ว จากการที่ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะแผ่นกรองเชื้อโรค (ฟิลเตอร์ที่นำเข้าปรับตัวสูงขึ้นมากโดยจ่ายชดเชยให้แผ่นละ 1 บาท 

ด้านนายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ศูนย์ปฏิบัติการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน ที่มีหน่วยงานต่างๆ ร่วมเป็นคณะกรรมการ ทั้งกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงพาณิชย์ ได้ปรับรูปแบบการจัดสรรหน้ากากอนามัยใหม่ โดยจะเน้นการกระจายให้กับผู้ที่ต้องการใช้สูงสุดอย่างบุคลากรทางการแพทย์ และสถานพยาบาลก่อนเป็นลำดับแรก และที่เหลือจะให้กระทรวงมหาดไทยบริหารจัดการเพราะทราบดีว่าในพื้นที่แต่ละจังหวัด ใครเป็นกลุ่มเสี่ยง และเป็นผู้ต้องการใช้ จะแจกจ่ายให้กับคนกลุ่มนั้นก่อน เช่นอาสาสมัครหมู่บ้าน กลุ่มผู้ที่เสี่ยงติดเชื้อและต้องกักกันตัวเอง กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่สัมผัสประชาชน หลังจากนั้นจึงจะจำหน่ายให้กับพี่น้องประชาชน โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มี..นี้เป็นต้นไป