”จุรินทร์”ลั่นเร่งส่งรัฐสภาเห็นชอบให้สัตยาบัน”อาร์เซ็ป”

.หวังให้พิจารณาและผ่านเห็นชอบให้ทันสมัยประชุมนี้

.คาดความตกลงมีผลใช้บังคับอย่างช้ากลางปี 64

.ย้ำอาร์เซ็ปดันไทยขึ้นแท่นผู้ส่งออกอาหารเบอร์ 1 โลกได้แน่

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยในงานปาฐกถาพิเศษ “การประกาศความสำเร็จการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป)” ว่า มั่นใจว่าอาร์เซ็ป จะทำให้ไทยได้ประโยชน์อย่างยิ่ง ทั้งเรื่องการส่งออกสินค้า บริการ และการลงทุน โดยเฉพาะการสนับสนุนสินค้าของไทยที่มีจุดแข็งอย่างสินค้าเกษตร ให้บุกตลาดอีก 14 ประเทศได้ อย่างมันสำปะหลัง แป้งมัน ยางพารา ประมง อาหาร ฯลฯ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการผลักดัน “อาหารไทยเป็นอาหารโลก” และทำให้ไทยก้าวสู่การเป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับต้นๆ ของโลก และอันดับหนึ่งของโลกได้ในอนาคต จากปัจจุบันอยู่อันดับ 11 ของโลก

นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอุตสาหกรรม ที่จะได้ประโยชย์อีก เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้า พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องแต่งกาย มอเตอร์ไซค์ รวมถึงภาคบริการและการลงทุน อย่าง ธุริจบริการก่อสร้าง ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับสุขภาพ ที่ไทยมีศักยภาพมาก รวมถึงธุรกิจคอนเทนต์ อย่าง ภาพยนตร์ แอนิเมชัน เกมส์ เป็นต้น อีกทั้ง ความตกลง ยังก่อให้เกิดความร่วมมือใหม่ๆ ระหว่างสมาชิก ซึ่งยังไม่มีในความตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) อาเซียน+1 เลย เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การแข่งขันทางการค้า การส่งเสริมและคุ้มครองวิสาหกิจขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) และความร่วมมือในการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ 

แต่อยากฝากทุกภาคส่วนว่า  หลังจากลงนามความตกลงไปแล้ว เราต้องเร่งเตรียมตัว และปรับตัวรอง ความตกลง เพราะมีเวลาอีกไม่เกิน 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ รวมถึงเร่งศึกษากฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้ปรับตัวและใช้ประโยชน์ได้ โดยหลังจากนี้ทั้ง 15 ประเทศต้องทำ 2 เรื่อง คือ ทำให้อินเดียมีโอกาสเข้ามาร่วมมือในอาร์เซ็ปในอนาคต หลังจากมีการพักเจรจาชั่วคราว และสมาชิกทุกประเทศต้องเร่งให้สัตยาบัน เพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ ซึ่งอาเซียนต้องให้สัตยาบันเกิน 5 ประเทศ บวกกับคู่เจรจาอีก 3 ประเทศเป็นอย่างน้อย รวมเป็น 9 ประเทศ 

“การให้สัตยาบันของไทยนั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 พ.ย.63 เห็นชอบให้ไทยให้สัตยาบันแล้ว ซึ่งผมจะเร่งผลักดันนำเรื่องนี้เสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อให้พิจารณาได้ทันประชุมสมัยนี้ ที่เริ่มเปิดประชุมเดือนพ.ย.63 -ก.พ.64 ถ้าผ่านความเห็นชอบ จะเข้าสู่กระบวนการให้สัตยาบัน ซึ่งไทยน่าจะเป็นประเทศแรกๆ ที่ให้สัตยาบันได้ เพื่อให้อาร์เซ็ปมีผลบังคับใช้ได้ภายในกลางปีหน้าเป็นต้นไป ส่วนปัญหาการเมืองขณะนี้ ไม่กระทบต่อการเดินหน้ากระบวนการให้สัตยาบันแน่นอน เชื่อว่าทุกฝ่ายจะเห็นต่อผลประโยชน์ส่วนรวม เพราะหากไม่สำเร็จก็จะส่งผลกระทบทางการค้าของไทย”