“จุรินทร์”นั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุมรมต.อาร์เซ็ป ที่ปักกิ่ง

  • มุ่งหาทางออกประเด็นติดค้าง
  • หวังผลักดันเจรจาให้จบในสิ้นปีนี้
  • ลั่นช่วย16ชาติสู้ศึกการค้าโลกได้แน่

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้นำคณะผู้แทนไทยเดินทางเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) สมัยพิเศษ ครั้งที่ 8 ระหว่างวันที่ 1-3 ส.ค.62 ณ กรุงปักกิ่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือเป็นการประชุมระหว่างประเทศนัดแรก หลังเข้ารับตำแหน่งรมว.พาณิชย์ ซึ่งตนในฐานะประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนในปีนี้ จะต้องทำหน้าที่ประธานการประชุมรัฐมนตรีอาร์เซ็ป ระหว่างอาเซียน และ 6 ประเทศคู่เจรจา คือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ โดยการประชุมรอบนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะหาทางออกในประเด็นที่ยังค้างอยู่บนโต๊ะเจรจา เพื่อขับเคลื่อนการเจรจาสู่เป้าหมาย และปิดรอบให้ได้ในปีนี้

“การสรุปผลการเจรจาอาร์เซ็ปในปีนี้ เป็นสิ่งที่ผู้นำอาเซียนให้ความสำคัญ และเป็น 1 ใน 13 ประเด็นเศรษฐกิจ ที่อาเซียนประกาศความตั้งใจว่าจะดำเนินการให้สำเร็จในปีนี้ โดยประเด็นสำคัญที่คาดว่าจะหารือในการประชุมครั้งนี้ เช่น ติดตามความคืบหน้าการเจรจา และตัดสินใจระดับนโยบายในเรื่องที่ยังติดขัด โดยเฉพาะความคืบหน้าล่าสุดจากการประชุมคณะกรรมการเจรจาอาร์เซ็ป ครั้งที่ 27 ซึ่งเป็นการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส เมื่อ 23-31 ก.ค.62 ณ เมืองเจิ้งโจว โดยตั้งเป้าให้การเจรจามีความคืบหน้า เช่น การเปิดตลาดการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุน ทรัพย์สินทางปัญญา การจัดทำภาคผนวกการเงิน เป็นต้น”

นายจุรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากประชุมระดับรัฐมนตรีที่ปักกิ่งแล้ว สมาชิกจะมีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสอีก 1 ครั้ง ในเดือนต.ค.นี้ ที่เวียดนาม และการประชุมระดับรัฐมนตรีอีก 2 ครั้ง ในเดือนก.ย.และเดือนต.ค.62 ณ กรุงเทพฯ โดยหลังจากนี้การประชุมอาร์เซ็ปจะทวีความเข้มข้นมากขึ้น ซึ่งทุกประเทศจะใช้ความพยายามในการหาทางออกร่วมกัน และแสดงความยืดหยุ่น เพื่อสรุปผลการเจรจาให้สำเร็จตามเป้าหมายในปีนี้ และจะประกาศผลสำเร็จของการเจรจาระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน (อาเซียน ซัมมิต) ที่กรุเทพฯในเดือนพ.ย.นี้

ทั้งนี้ หากเจรจาสำเร็จอาร์เซ็ป จะกลายเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรกว่า 3,560 ล้านคน หรือเกือบครึ่งของประชากรโลก มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 11.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 30% ของมูลค่าการค้าโลก ซึ่งลจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการค้าระหว่างของสมาชิกทั้ง 16 ประเทศ ท่ามกลางวิกฤตสงครามการค้า รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับภูมิภาคอาเซียนและอาร์เซ็ป