จับตาสายการบินสหรัฐฯปลดพนักงานหลายหมื่นคน1ต.ค.นี้

  • หลังสัญญาที่รัฐบาลให้รักษาการจ้างงานไว้จะสิ้นสุดลง1ต.ค.นี้
  • และถ้าทำเนียบขาวผ่านกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ2ไม่ทัน
  • ย้ำ2พรรคการเมืองสู้กันมันหยดออกกฎหมายไม่ทันก่อนเลือกตั้งผู้นำแน่

ผมไม่เคยคิดเลยว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นกับสายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ และอเมริกัน แอร์ไลน์

เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ออกคำเตือนว่า พนักงานเกือบครึ่งหนึ่ง หรือประมาณ 36,000 คน อาจถูกปลดออกจากงานตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.63 เป็นต้นไป

หลังจากนั้นไม่นาน อเมริกัน แอร์ไลน์ ได้ออกคำเตือนเช่นเดียวกันว่า พนักงานประมาณ 25,000 คน เสี่ยงที่จะถูกปลดออกจากงานในวันที่ 1 ต.ค.นี้

ผมคิดว่า การออกประกาศเช่นนี้ อาจเป็นเพียงคำเตือนในสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง หรือมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย

ทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น? เหตุผลคือ ช่วงเวลาของการออกประกาศดังกล่าวของทั้ง 2 สายการบิน อยู่ในช่วงที่รัฐบาลประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ พยายามที่จะออกกฎหมายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ซึ่งรวมถึงเม็ดเงินจำนวนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่จะนำมาใช้เพื่อรักษาการจ้างงานของธุรกิจสายการบิน

นับตั้งแต่ที่รัฐบาลสหรัฐฯได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกไปแล้วเมื่อช่วงต้นปี 63 โดยส่วนหนึ่งของมาตรการ ระบุให้สายการบินต้องให้คำมั่นที่จะรักษาการจ้างงานไปจนถึงวันที่ 1 ต.ค.นี้ เพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือจากรัฐบาล ดังนั้น ภายในวันที่ 1 ต.ค.นี้ สหรัฐฯ น่าจะผ่านกฎหมายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 ให้ได้

แต่บางสิ่งบางอย่างอาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการพิจารณาผ่านกฎหมายมาตรการกระตุ้นครั้งใหม่ หนึ่งในนั้นคือ การต่อสู้ทางการเมือง

ปีนี้เป็นปีที่สหรัฐฯจะต้องเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งอาจกลายเป็นปีแห่งการเลือกตั้งที่มีการต่อสู้กันมากที่สุด และการยอมรับความเห็นชอบระหว่างสภาผู้แทนราษฎร (ควบคุมโดยพรรคเดโมแครตส์) และวุฒิสภา (ควบคุมโดยพรรครีพับบลิกัน) เป็นเรื่องที่ต้องทำงานอย่างหนัก

ขณะนี้ ซึ่งวันเลือกตั้งใกล้เข้ามาแล้ว กลับมีประเด็นอื่นอีก นั่นคือ การเสียชีวิตของผู้พิพากษาศาลฎีกา รูธ กินส์เบิร์กเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงการเสนอชื่อและการยืนยันผู้สืบทอดตำแหน่งของเธอ ซึ่งโดนัลด์ ทรัมป์ และวุฒิสมาชิกจากพรรครีพับบลิกัน ให้ความสำคัญสูงสุด

  แม้ว่า สภาฯได้ผ่านความเห็นชอบร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่เดือนพ.ค.ที่ผ่านมา แต่การเจรจาเรื่องวงเงินที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจของพรรคเดโมแครตส์ และฝ่ายบริหารของทำเนียบขาว ได้พังครืนลงแบบไม่เป็นท่า และยังหาข้อสรุปไม่ได้จนถึงขณะนี้ และถ้าทั้ง 2 ฝ่าย ทึกทักว่า อาจมีโอกาสบรรลุข้อตกลงระหว่างกันในนาทีสุดท้าย ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่จะผ่านกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจก่อนวันที่ 1 ต.ค.นี้ 

อย่างไรก็ตาม กลับมาข่าวดีที่ว่า เมื่อเร็วๆ นี้ อเมริกัน แอร์ไลน์ และยูไนเต็ด แอร์ไลน์ ระบุว่า จำนวนพนักงานที่จะถูกปลดออกจากงาน และถูกเลิกจ้าง อาจน้อยกว่าที่เคยประกาศไปแล้ว เพราะพนักงานบางคนลาออกโดยสมัครใจ แต่อเมริกัน แอร์ไลน์ ยังคงคาดว่า พนักงานประมาณ 19,000 คน จะถูกเลิกจ้าง ขณะที่ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ กล่าวว่า พนักงานที่จะถูกเลิกจ้างอาจมีจำนวน 16,370 คน ส่วนใหญ่เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องใหญ่

ดัก ปาร์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารอเมริกัน แอร์ไลน์ กล่าวระหว่างการแถลงข่าวในสัปดาห์นี้ว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย พนักงานของบริษัทจะถูกเลิกจ้างงานวันที่ 1 ต.ค.นี้ ซึ่งไม่ยุติธรรมเลย และบริษัท อาจหยุดทำการบินไปยังเมืองเล็กๆ เช่น เมืองนิว เฮฟเว่น รัฐคอนเน็กติกัต และเมืองดูบิวก์ รัฐไอโอวาด้วย

นอกจากนี้ เดลตา แอร์ ไลน์ เห็นด้วยที่จะลดจำนวนนักบินประมาณ 220 คน ทำให้เหลือนักบินทั้งหมด 1,721 คน ขณะที่ผู้บริหารเจ็ทบลู กล่าวว่า จะปลดพนักงานด้วยเช่นกัน แต่ยังไม่เห็นตัวเลขล่าสุดที่จะมีการปลด

ขณะที่จำนวนผู้โดยสารลดลง 65% และธุรกิจสายการบินรายงานว่า ในแต่ละเดือนต้องสูญเสียรายได้มากถึง 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สกอตต์ เคอร์บี้ ผู้บริหารสายการบินยูไนเต็ด กล่าวว่า รายได้ของยูไนเต็ด จะต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของรายได้ในช่วงปกติต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 15 เดือน และคาดว่า จะไม่สามารถฟื้นตัวกลับมาได้เหมือนเดิมจนกว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะคลี่คลาย และมีวัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพแล้ว (เขาคาดว่า อาจไม่เกิดขึ้นไปจนถึงปลายปี 64)

ในสถานการณ์ปกติ อาจคาดหวังว่า อันตรายจากการที่แรงงาน 36,000 คนตกงานก่อนการเลือกตั้ง อาจกระตุ้นให้รัฐบาลต้องดำเนินการบางอย่าง แต่ในปีที่ผ่านมา ความจริงที่ว่า แรงงานกว่า 900,000 คนได้ยื่นเรื่องเพื่อรับสวัสดิการการว่างงานทุกสัปดาห์ ทำให้ตัวเลขคนว่างงานที่มีจำนวนมากนั้น เหมือนไม่มีความสำคัญแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะชี้ว่า วอชิงตัน ควรผ่านกฎหมายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แต่ผมรู้สึกสงสารผู้คนที่มีความเสี่ยงจะตกงาน แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ผมคิดว่า คุณจะค้นพบว่า วิธีการที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการขอรับความช่วยเหลือ และหยุดการเลิกจ้างงานคือ การประกาศว่า คุณจะลอยแพพนักงาน

แปลจากบทบรรณาธิการ เว็บไซต์ inc.com โดยบิลล์ เมอร์ฟี่ จูเนียร์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ understandably.com และบรรณาธิการเว็บไซต์ inc.com