“คุรุจิต” ผอ. สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ร่ายยาวชัดเจน! ชี้ค่าการกลั่นน้ำมัน จะให้ถูกใจ หรือถูกต้องดี?

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 มิ.ย.65) นายคุรุจิต นาครทรรพ ผู้อํานวยการ สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย ได้เผยแพร่บทความที่น่าสนใจเกี่ยวกับด้านพลังงงานอย่างน้ำมัน เรื่องค่าการกลั่นน้ำมัน ที่ ณ ขณะนี้กำลังเป็นที่จับตามองของประชาชนเป็นอย่างมาก โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้…

ค่าการกลั่นน้ํามัน! จะให้ถูกใจ หรือถูกต้องดี?

คุรุจิต นาครทรรพ

ผู้อํานวยการ สถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย

19 มิถุนายน พ.ศ. 2565

ช่วงสองสัปดาห์มานี้ โหงวเฮ้ง (หรือนรลักษณ์พยากรณ์) ของผู้บริหารบริษัทโรงกลั่นน้ํามันในไทยทั้งหกโรง อันได้แก่Thai Oil, GC, BCP, IRPC, Esso และ SPRC ดูออกจะไม่มีออร่าแจ่มใส สวนทางกับราคาน้ํามันขาขึ้น จากวิกฤติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ในยุโรปที่น่าจะเป็นผลดีต่อธุรกิจ แต่เหตุที่ไม่เบิกบานนักก็เพราะโรงกลั่นในไทย กําลังจะถูกกล่าวหาจากคนที่มีดีกรีเคยเป็นถึงอดีตขุนคลังของรัฐบาลในอดีตสองคนว่า เป็นโจรปล้นประชาชน หรือเอาเปรียบผู้บริโภคบ้างล่ะ โดยยกอ้างถึงตัวชี้วัด ‘ค่าการกลั่น Gross Refinery Margin (GRM)’ ด้วยการ วิเคราะห์ของตนว่ามีค่าสูงมากเกินปกติ ดังนั้นจึงไปอนุมานว่าบริษัทโรงกลั่นน้ํามันทั้งหกโรงเหล่านี้ต้องมีกําไร “ส้มหล่น” อย่างมหาศาล เกิดเป็นกระแสให้รัฐเข้ามาจัดการควบคุมเพดานค่าการกลั่น GRM 

พร้อมทั้งมีข่าวว่า จะขอร้องแกมบังคับให้โรงกลั่นให้ความร่วมมือ “บริจาค” เงินก้อนมาให้รัฐนําไปใช้พยุงราคาขายปลีกน้ํามันเชื้อเพลิง ในประเทศให้อยู่ในระดับต่ำต่อไป หลังจากที่กองทุนน้ํามันเชื้อเพลิงกําลังจะหมดความสามารถที่จะนําไปใช้พยุง ราคาน้ํามันได้อีกต่อไป เนื่องจากใช้ไปจนหมดหน้าตักจนมีภาระเป็นหนี้จะเหยียบหนึ่งแสนล้านบาทภายในสิ้นเดือนนี้อยู่แล้ว มีการยกเอาสถิติตัวเลขส่วนต่าง (crack spread) ระหว่างราคาน้ํามันดีเซลกับราคาน้ํามันดิบใน ตลาดสิงคโปร์มาเปรียบเทียบย้อนหลังไปในปี 2563 เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือด้วยว่า โรงกลั่นกําลังฟันกําไรบนความทุกข์ของประชาชน! กระทรวงพลังงานและรัฐมนตรีว่าการฯ ตกเป็นเป้าโจมตีเช่นเคยว่าไม่ทําอะไรเลย ตามด้วยการ กล่าวสบประมาทว่า เป็นเพราะรัฐมนตรีฯ เกรงใจเพื่อนเพราะตนเคยทําธุรกิจน้ีมาก่อน ส่วนข้าราชการก็ถูกข้อหาเดิมว่า ไปนั่งอยู่ในบอร์ดรัฐวิสาหกิจ ต้องมีประโยชน์ทับซ้อนแน่เลย ถึงไม่กล้าสั่งโรงกลั่นให้ลดราคา

ผมติดตามข่าวสารในสื่อมวลชนกระแสหลัก ก็พบว่าสื่อมวลชนและประชาชนส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้าใจและยอมรับ ในระดับหนึ่งว่าราคาหน้าปั๊มที่แพงขึ้นในช่วงสามสี่เดือนกว่ามานี้ เพราะต้นทุนเนื้อน้ํามันในตลาดโลก (ทั้งน้ํามันดิบและผลิตภัณฑ์ที่กลั่นแล้ว) มีราคาแพงขึ้น อันมีเหตุปัจจัยแวดล้อมหลายเรื่องมาประจวบกัน ผู้ค้า และปั๊มน้ํามันไม่สามารถตั้งราคาเองโดยไม่คํานึงถึงกลไกตลาดและต้นทุนได้ และรัฐบาลก็ได้พยายามหลายวิธี ด้วยกลไกหลาย ๆ อย่างแล้วไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินกองทุนน้ํามันฯ มาอุดหนุนราคาขายปลีก (โดยเฉพาะดีเซล) การลดภาษีสรรพสามิตลงกว่า 5 บาทต่อลิตร การลดส่วนผสมของไบโอดีเซล B100 ในน้ํามันดีเซลจาก 7%, 10% และ 20% ให้เหลือเป็น B5 (5%) เท่านั้น การค่อยๆ ขยับเพดานการตรึงราคาขายปลีกน้ํามันดีเซล เป็น 35 บาท/ลิตร และก๊าซหุงต้ม LPG เป็น 363 บาทต่อถัง 15 กก. และใช้โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมาช่วย สนับสนุนลดค่าครองชีพด้านพลังงานให้แก่ผู้มีรายได้น้อย วินมอเตอร์ไซด์ รถ Taxi หาบเร่แผงลอย และครัวเรือน ผู้ที่ใช้ไฟฟ้าน้อย เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า ราคาขายปลีกน้ํามันเชื้อเพลิงในประเทศตั้งแต่เดือนมกราคมปีนี้เป็นต้นมา จนถึงเมื่อวันศุกร์ที่ 17/6/65 สําหรับดีเซลปรับขึ้น 17% (ขณะที่ในตลาดสิงคโปร์ปรับขึ้น 84%) ส่วนแก๊สโซฮอล 95 ก็ปรับราคาขึ้น 38% (ขณะที่ULG 95 สิงคโปร์ปรับขึ้นในช่วงเดียวกัน 61% ซึ่งราคาอ้างอิงหน้าโรงกลั่น (ex-refinery prices) ของไทยก็ปรับตัวขึ้นใกล้เคียงกับราคาหน้าโรงกลั่นที่สิงคโปร์ด้วย ดังนั้นพอมีประเด็นเรื่องค่าการกลั่นเข้ามา หลายคนก็เลยสงสัยอยากรู้ว่า เอ๊ะมันจริงหรือเปล่า ที่โรงกลั่นมีกําไรมหาศาลจากส่วนต่างของค่าการกลั่นนี้ และเรา (รัฐ) ควรจะเข้าไปทําอะไรมากกว่าน้ีเพื่อช่วยประชาชนเพิ่มเติมอีกได้ไหม?

ถูกใจ โดยการคุมเพดานการกลั่น หรือขอแบ่งเงินจากกําไร “ส้มหล่น” ของโรงกลั่น มาช่วยพยุงราคาน้ํามัน ในประเทศ จะดีหรือ?

ผมคิดว่า เราควรจะไตร่ตรองให้รอบคอบและคิดถึงผลกระทบทั้งในระยะยาวและระยะสั้นต่อระบบเศรษฐกิจของไทยและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ก่อนที่จะออกมาตรการใด ๆ ออกมา รวมทั้งควรมองไปถึงตอนจบด้วยว่า มาตรการที่จะนํามาใช้จะยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมจริงหรือเปล่า? ไม่ใช่แก้แบบเสี่ยงโชคยื้อเวลา โดยหวังอีกประเดี๋ยวนึงวิกฤติก็จะหายไป แล้วราคาในตลาดโลกคงจะลดลงมาเอง และไม่ควรแก้ปัญหาหนึ่ง แต่ไปก่อให้เกิดอีกปัญหาหนึ่งให้คนรุ่นหลัง หรือรัฐบาลข้างหน้ารับไปแก้กันเอาเอง

ในประการแรก ต้องทําความเข้าใจก่อนว่า ค่าการกลั่น (GRM) มิใช่กําไรแท้จริงที่โรงกลั่นได้รับ และจะดูค่า GRM ควรจะต้องพิจารณาจากค่าเฉลี่ยถ่วงน้ําหนักของราคา ของทุกผลิตภัณฑ์ที่กลั่นออกมาจากหอกลั่น เทียบกับราคาน้ํามันดิบชนิดที่แต่ละโรงกลั่นเขาสั่งซื้อเข้ามากลั่นจริง (หรือที่เรียกว่า crack spreads) และดู loss ในกระบวนการผลิตด้วย ไม่ใช่เอาส่วนต่างเฉพาะของราคาน้ํามันดีเซล (ซึ่งมักจะแพงที่สุด) ไปลบด้วยราคา น้ํามันดิบดูไบ (ซึ่งมักจะถูกที่สุด) แล้วไปสรุปเลยว่า เขาต้องมีกําไรมหาศาล เปรียบเสมือนโรงสีข้าว รับซื้อ ข้าวเปลือกมาสี สีข้าวแล้วได้ผลิตภัณฑ์ต่างชนิดที่ขายได้ในราคาต่างกัน เช่น แกลบ รําข้าว ปลายข้าว ข้าวหัก มิใช่มีแต่ข้าวสาร 5% หรือมีแต่ข้าวหอมมะลิอย่างเดียว เป็นต้น GRM จึงเป็นเพียงหนึ่งในตัวชี้วัดว่าโรงกลั่นมี ประสิทธิภาพเปรียบเทียบกับโรงกลั่นอื่นๆในภูมิภาคแล้วเป็นอย่างไร เพื่อพัฒนาปรับปรุงลดต้นทุน ให้สามารถแข่งขันกับโรงกลั่นในประเทศอื่นๆ GRM จึงแสดงความสามารถของโรงกลั่นในการทํากําไรและแข่งขันในตลาด ค้าส่งน้ํามันที่เป็นตลาดเสรี มิได้แปลว่า GRM มีค่าสูงแล้วจะมีกําไรดีเสมอไป

ประการที่สอง โรงกลั่นแต่ละโรงมีโครงสร้างการลงทุนและค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ซึ่งยังไม่รวมถึงต้นค่าซื้อน้ํามันดิบมากลั่น ที่แต่ละโรงซื้อมาในเวลาที่ต่างกันและคุณภาพของชนิดน้ํามันดิบที่ซื้อก็อาจแตกต่างกันด้วย ค่าสํารองน้ํามันตามกฎหมาย ค่าบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ความเสี่ยงจากราคาขึ้นหรือลงของ สต๊อกน้ํามัน cost structures จึงไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น การจะไปคุมราคาขายส่งหน้าโรงกลั่นแต่ละโรง แบบจะใช้ระบบ cost plus จึงไม่อาจทําได้และไม่มีประเทศไหนเขาทํากัน รวมถึงการจะประกาศควบคุมราคา อย่างที่อดีตขุนคลังบางคนแนะนํารัฐก็ไม่มีอํานาจตามกฎหมายในขณะนี้ที่จะไปคุมราคาขายส่งหรือขายปลีก น้ํามันด้วย 

หากทําไปก็จะเป็นการส่งสัญญาณที่ผิด ทําให้ธุรกิจเขาอาจทบทวนลดการสั่งน้ํามันดิบเข้ามาผลิตน้ํามันเชื้อเพลิงประเทศก็จะมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ํามันเชื้อเพลิง และก็คงไม่ต่างอะไรกับที่รัฐบาลที่ประชานิยมสุดขั้ว หรือต่อต้านระบบค้าเสรีอย่างเวเนซุเอลา หรือโบลิเวีย หรืออิหร่าน เคยทํามาแล้วก็ล้มเหลว นําไปสู่ภาวะขาดแคลนปัจจัยพื้นฐานและบริการประชาชนอดอยากจากภาวะเงินเฟ้อที่ไม่อาจควบคุมได้ รัฐบาล ทุกยุคสมัยที่ผ่านมาตลอดสามสิบปีได้ตัดสินใจนํากลไกตลาดและการค้าเสรีมาใช้โดยลอยตัวราคาน้ํามันในประเทศ รัฐจะเข้าไปแทรกแซงก็แต่ในขอบเขตที่จํากัดในการเรียกเก็บเงินเข้าหรือจ่ายเงินชดเชยจากกองทุนตาม พ.ร.บ.กองุทนน้ํามันเชื้อเพลิงฯ เท่านั้น 

รัฐจึงไม่ควรย้อนกลับถอยหลังไปสู่ระบบที่จะทําให้การจัดหาและค้าน้ํามัน มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ การส่งสัญญาณที่ผิดจะทําให้ภาคธุรกิจต้องทบทวนความ เสี่ยง optimize products and crude runs สั่งน้ํามันดิบเข้ามากลั่นน้อยลง หรือกลั่นแต่ส่งออกมากขึ้น หรือปรับกระบวนการผลิตให้ผลิตสินค้าอื่นเช่นปิโตรเคมีมากขึ้น แทนที่จะผลิตออกมาเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งจะไม่ เป็นผลดีต่อการจัดหาในประเทศ

ประการที่สาม โรงกลั่นทั้งหกโรงในประเทศไทย เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการเปิดเผยงบการเงินงบกําไรขาดทุนจากผลประกอบการเป็นรายปีและรายไตรมาสตามกฎกติกาอย่างโปร่งใส และตรวจสอบได้ เสียภาษีทุกประเภทเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษี VAT ภาษีสรรพสามิต และภาษีที่ดิน ธุรกิจของแต่ละรายมิได้จํากัดอยู่แต่การนําเข้าหรือกลั่นอย่างเดียว กําไรของเขาจึงไม่ใช่มาจากเฉพาะการกลั่นเท่านั้น แต่ละโรงอาจมีการลงทุนขยายงานหรือปรับปรุงเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ไม่พร้อมกัน เช่นลงทุนติดอุปกรณ์คุมมาตรฐานคุณภาพน้ํามัน Euro 5 ตามนโยบายรัฐ เป็นต้น

การจะไปขอให้แต่ละโรงเขาจัดสรรเงิน ก้อนแบ่งกําไรมาให้รัฐ โดยจะใช้ตัวชี้วัด GRM เป็นตัวกําหนดแบบไม่แน่นอน(arbitrary) ผู้บริหารเขาคงต้องคิดหนัก เพราะอยู่นอกเหนือขอบเขตของกฎหมายและพันธกรณีใดๆ และจะต้องนําไปขอรับอนุมัติจาก คณะกรรมการบริษัทด้วย ซึ่งคณะกรรมการของบริษัทฯ ก็พึงมีหน้าที่ตัดสินใจโดยชอบบนหลักFiduciary Duty ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หากคณะกรรมการบริษัทมหาชนใช้ดุลพินิจโดยมิได้เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ยึดถือประโยชน์ขององค์กรเป็นที่ตั้งจนเกิดความเสียหายธุรกิจ ก็อาจถูกผู้ถือหุ้นทั้งรายใหญ่หรือรายย่อยฟ้องร้องเอาได้

ประการที่สี่ (ต่อเนื่องจากประการที่สาม) กําไรสุทธิของโรงกลั่นที่เป็นบมจ. จะรู้แน่ว่ามีกําไรหรือขาดทุนก็ต้องรอ ให้ครบ 12 เดือนของปีปฏิทินเสียก่อน การใช้ตัวเลข GRM เพียงแค่สองสามเดือนที่ผ่านมาแล้วสรุปว่า โรงกลั่นมีกําไรมหาศาล หากในอีกหกเดือนหลังของปี 2565 นี้ราคาน้ํามันร่วงลงมา ค่า crack spreads ของดีเซลและเบนซินตกลงมาเพราะเศรษฐกิจชะลอตัวทั่วโลก หรือมีโรคระบาดใหม่เกิดขึ้นทําให้ต้องเกิดการ Lockdown รอบใหม่ โรงกลั่นกลายเป็นขาดทุนในรอบครึ่งปีหลัง เขาจะไปเรียกร้องขอเงินส้มหล่นนี้คืนจากรัฐได้ไหม ทุกวันน้ี เพียงแค่มีข่าวว่ารัฐจะควบคุมราคาหรือกําหนดเพดานค่าการกลั่น หรือโรงกลั่นอาจต้องให้ความร่วมมือ ‘บริจาค’ เงินก้อนให้รัฐไปพยุงราคาน้ํามัน บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ก็ต่างส่งสัญญาณ Sell ทําให้หุ้นของโรงกลั่นทั้ง หกโรงในตลาดหลักทรัพย์ฯราคาตกยกแผง market cap ลดวูบ บรรดากองทุนรวมเพื่อสํารองเลี้ยงชีพ บําเหน็จบํานาญ หรือประกันสังคมทั้งหลาย หรือกองทุนการออมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น RMF, LTF หรือ SSF ที่เคยถือหุ้นโรงกลั่นอันจัดเป็นหุ้นพื้นฐานดีบนSET100 ต่างกลายเป็นมีมูลค่าสุทธิลดลง เพราะนักลงทุนเทขาย จากความหวั่นไหวไม่เชื่อมั่นในนโยบายเศรษฐกิจเสรี อาจกระทบต่อดัชนีจัดอันดับความชื่อถือ ratings ของบริษทัฯได้นอกจากนี้ในระยะยาวการที่รัฐจะไปเชิญนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศมาลงทุนในโครงการ mega projects ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ก็อาจจะยากลําบากยิ่งขึ้น เพราะนักลงทุน ต่างชาติก็คงถามหาสิทธิภายใต้ความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนที่ไทยมีกับนานาประเทศ ว่าเขาจะคงได้รับความคุ้มครองจากการเวนคืน และได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมอยู่หรือไม่

Stay the course ปล่อยให้กลไกตลาดทำงาน แต่รัฐมุ่งสร้าง safety net ให้สังคม กับใช้กลไกภาษีเข้าช่วย จะถูกต้องกว่า

ในปี 2563 ที่เริ่มเกิดการระบาดของโควิด-19 ราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ตกต่ำมาก บางช่วงราคาเป็นศูนย์หรือติดลบ เพราะไม่มีถังให้เก็บน้ำมันที่มีการซื้อขายล่วงหน้าใน forward market ค่า GRM ของปีนั้นลดลงต่ำมากจนไม่ควรถือเป็นค่ามาตรฐานเปรียบเทียบ กิจการกลั่นน้ำมันของโรงกลั่นทั้งหกโรงต่างขาดทุนกันหมด ไม่มีใครไปช่วยเขาเพราะเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่ต้องยอมรับ ปี 2565 ตั้งแต่มีนาคม-พฤษภาคม มีเหตุการณ์ผิดปกติอันเนื่องมาจากสงครามในยุโรป การแซงค์ชั่นสินค้าพลังงานได้แก่น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซีย โดยอเมริกาและกลุ่ม EU ทำให้เกิดเป็นวิกฤตราคาพลังงานไปทั่วโลก มิใช่จำกัดอยู่แต่ประเทศไทยเพียงที่เดียว 

ณ วันนี้ราคาน้ำมันดีเซล (34.94 บาท/ลิตร) และแก๊สโซฮอล 95 (45.15 บาท/ลิตร ในไทยเทียบกับเพื่อนบ้านในอาเซียนอาจถือว่าแพงก็จริง แต่ก็ยังต่ำกว่าอีก 7 ประเทศ คือ สิงคโปร์ ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม อินโดนีเซียและเมียนมา จะมีก็เพียงสองประเทศที่ราคาต่ำกว่าไทย คือมาเลเซียและบรูไน 

โดยที่มาเลเซียนั้นเขาใช้วิธีอุดหนุนราคาที่ปั๊มน้ำมัน โดยรัฐบาลกลางตั้งงบประมาณมาสนับสนุน (มิใช่ให้PETRONAS ไปอุดหนุน) การจะช่วยแก้ปัญหาน้ำมันแพง อย่างแรกก็คือทำแบบที่หลาย ๆ ท่านแนะนำคือ ประหยัดพลังงาน (ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า) อดทนร่วมกัน ยอมรับความจริงว่า ไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิราคาน้ำมันในบ้านเราจึงต้องยึดโยงกับตลาดโลก เราจะฝืนกลไกตลาดไม่ได้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถูกนำมาใช้จนเกิน Limit ภาษีสรรพสามิต

ก็ลดลงไปกว่า 5 บาท/ลิตรแล้ว เราคงต้องปล่อยให้ทั้งดีเซลและ LPG ลอยตัวขึ้นไปบ้าง เพื่อไม่เพิ่มภาระหนี้ของกองทุนน้ำมันฯ จนหมดความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ในอนาคต 

รัฐบาลควรใช้วิธีตั้งงบประมาณแผ่นดินไปช่วยเหลือสร้าง safety net ไปช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยเป็นเฉพาะกลุ่มผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เช่นให้โควตาซื้อก๊าซหุงต้มในราคาถูกครอบครัวละถัง/เดือน หรือจัดสรรคูปองเติมน้ำมันดีเซลในราคา discount ให้แก่รถบรรทุกหรือรถขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภครายย่อยเดือนละกี่ลิตรต่อคัน เป็นต้น ซึ่งโดยรวมจะใช้งบประมาณน้อยกว่าการอุดหนุนราคาแบบเหวี่ยงแห (blanket subsidies)

สำหรับมาตรการสุดท้าย หากเห็นว่ามีความจำเป็น เพราะรัฐขาดดุลงบประมาณจริงๆ ก็อาจพิจารณาตามที่หลายๆท่านแนะนำคือ ออกกฎหมายเป็นพระราชกำหนดมาเก็บภาษีพิเศษจำเพาะ แบบ Windfall profit taxโดยมีหลักเกณฑ์และกติกาที่ชัดเจนว่าจะเก็บจากธุรกิจไหนบนเงื่อนไขอะไร

การออกกฎหมายเก็บภาษีเป็นอำนาจของรัฐอยู่แล้ว ถือเป็นหลักสากลเพราะใช้บังคับโดยทั่วไป มิใช่เลือกปฏิบัติกับบางบริษัท แม้ภาคธุรกิจหรือนักลงทุนต่างชาติอาจจะบ่นบ้าง แต่ก็เป็นไปโดยชอบธรรม ซึ่งบริษัทมหาชนทั้งหลายจะสามารถ compliance ปฏิบัติได้ รักษาไว้ซึ่งความน่าเชื่อถือของรัฐบาล และการเคารพใน rule of laws 

เคยมีปราชญ์ฝรั่งท่านหนึ่งชื่อ James Freeman Clarke กล่าวคำคมไว้นานมาแล้วว่า “A politician thinks of the next election; a statesman of the next generation.”

ขอให้กำลังใจกระทรวงพลังงาน ท่านรัฐมนตรีฯ และท่านปลัดกระทรวงฯ ขอให้ยึดถือหลักการไว้ในการแก้ปัญหา และมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อให้คนไทยมีพลังงานใช้อย่างเพียงพอ ต่อเนื่อง และในราคาที่เป็นธรรมครับ

คุรุจิต นาครทรรพ

ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย 19/06/65