คลายความสงสัย… “หมอยง” เผย “โควิด-19 วัคซีน” กับการกระตุ้นให้ภูมิต้านทานสูงขึ้นทำอย่างไร?

  • ชี้การให้วัคซีน 2 เข็มแรก ระดับภูมิต้านทานจะขึ้นไม่สูง ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนอะไร
  • ลั่นจำเป็นต้องฉีดเข็ม 3 เพื่อยกระดับภูมิต้านทานให้สูงขึ้น
  • เผยฉีดวัคซีนมาหลัง 4 เดือนไปแล้ว ระดับภูมิจะลดลงมามาก
  • แนะนำควรจึงกระตุ้นหลัง 4-6 เดือน ไม่ว่าจะเป็น หลังเข็ม 3 หรือเข็ม 4

วันนี้ (16 มิ.ย.65) ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Yong Poovorawan โดยมีเนื้อหาดังนี้…

โควิด 19 วัคซีน การกระตุ้นให้ภูมิต้านทานสูงขึ้น

ยง ภู่วรวรรณ  16 มิถุนายน 2565

จากตัวอย่างการฉีดวัคซีน ในผู้ใหญ่ไทย ที่มีการตรวจภูมิต้านทานมาโดยตลอด ดังในรูปนี้ เราจะเห็นว่าภูมิต้านทานจะสูงมากหลังฉีดกระตุ้นเพียง 2 สัปดาห์ แล้วหลังจากนั้นก็จะค่อยๆลดลง ในรายนี้ฉีดวัคซีนมาแล้วทั้งหมดถึง 5 ครั้งพอสรุปได้ดังนี้

การให้วัคซีน 2 เข็มแรก ระดับภูมิต้านทานจะขึ้นไม่สูง ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนอะไร จำเป็นจะต้องให้เข็มที่ 3 เพื่อยกระดับภูมิต้านทานให้สูงขึ้น เพียงพอกับสายพันธุ์ที่เปลี่ยนไปโดยเฉพาะ omicron ใช้ระดับภูมิต้านทานที่สูงกว่าสายพันธุ์เดิมอู่ฮั่นค่อนข้างมาก 

ดังนั้นการป้องกันโรคหรือประสิทธิภาพของวัคซีนจะมีประสิทธิภาพสูงในเดือนแรกๆ หลังการฉีดวัคซีนและเมื่อนานเกิน 4 เดือนไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเข็มกระตุ้นที่ 3  หรือ 4 ภูมิต้านทานก็จะลดลงในระดับที่ต่ำกว่าระดับป้องกันการติดเชื้อ 

แต่อย่างไรก็ตามระบบความจำของร่างกายจะช่วยเสริมการตอบสนองภูมิต้านทานขึ้นอย่างรวดเร็วถ้ามีการติดเชื้อทำให้การติดเชื้อมีอาการน้อยลงอย่างมาก และการกำจัดเชื้อ เป็นไปได้รวดเร็วขึ้น

คำถามมักถามเสมอว่า จะกระตุ้นเมื่อไหร่ จากภาพนี้แสดงให้เห็นว่าหลัง 4 เดือนไปแล้วระดับภูมิต้านทานจะลดลงมามาก ตามคำแนะนำจึงแนะนำการกระตุ้นหลัง 4-6 เดือน ไม่ว่าจะเป็น หลังเข็ม 3 หรือเข็ม 4 

ทุกคนควรได้วัคซีนอย่างน้อย 3 เข็ม ในกลุ่มเสี่ยงหรือที่มีโรคประจำตัว ควรได้อย่างน้อย 4 เข็ม บุคลากรด่านหน้าหรือผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงก็ควรได้อย่างน้อย 4 เข็ม การกระตุ้นเข็ม 5  อยู่ด้วยความสมัครใจ เพราะขณะนี้มีหลายคนเริ่มถามถึงเข็ม 5 แล้ว เราให้วัคซีนกันมากว่า 1 ปีแล้ว และในอนาคตการให้วัคซีน covid 19  ก็คงคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ ที่ต้องมีการกระตุ้นทุกปี โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ที่เป็นโรคแล้วอาจจะรุนแรง