นางปานทิพย์ ศรีพิมล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแผนการฟื้นฟูกิจการให้กับศาลล้มละลายกลาง ช่วงเช้าวันนี้ (2 มี.ค.64) แต่สคร.ยังไม่เห็นรายละเอียดของแผนฟื้นฟูกิจการ ซึ่งยังมีเวลาในการพิจารณาแผนอีก 60 วัน ส่วนประเด็นการลดยอดหนี้ที่ค้างชำระ หรือการแฮร์คัท (HAIR CUT) นั้น กระทรวงการคลังในฐานะเจ้าหนี้ คงไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ แต่สามารถขยายระยะเวลาชำระหนี้ออกไปได้
ทั้งนี้หากจะให้การบินไทยดำเนินการต่อ การบินไทยจะต้องมีสภาพคล่อง เนื่องจากสถานการณ์การบินในช่วง 1-2 ปีนี้ น่าจะไม่ได้กลับมาเหมือนสถานการณ์ก่อนที่โควิด-19 แพร่ระบาด โดยในการดำเนินกิจการต่อจะต้องมีเงินเข้าไปเสริมสภาพคล่อง รวมทั้งเรื่องของพนักงานที่จะสมัครใจลาออก จะต้องมีเงินจ่ายชดเชยส่วนนี้ด้วย ซึ่งกระทรวงการคลังจะต้องมาพิจารณาแนวทางการเพิ่มสภาพคล่องให้ ในลักษณะการเพิ่มทุน หรือการให้กู้ด้วยการค้ำ ซึ่งจะมาพิจาณาข้อจำกัดต่างๆ ทางกฎหมายก่อน
“ต้องดูรายละเอียดของแผนก่อนว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งเจ้าหนี้คงจะมีการหารือกันเร็วๆนี้ ส่วนจะมีการเพิ่มทุน เพื่อเสริมสภาพคล่องให้การบินไทยดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วง 1-2 ปี ประมาณ 30,000 -50,000 ล้านบาทนั้น จะต้องดูรายละเอียดและหารือกันระหว่างเจ้าหนี้ ซึ่งกระทรวงคลังไม่น่าจะเพิ่มทุนได้ อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จะเป็นผู้พิจารณา”
ส่วนกรณีที่การบินไทยยังต้องการการลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เหมือนที่เคยได้รับตอนมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจนั้น นางปานทิพย์ กล่าวว่า ขณะนี้การบินไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจ จึงต้องมาดูว่าคนที่จะให้สิทธิจะสามารถให้ได้หรือไม่ เพราะหน่วยงานทั้งหมดที่จะขอสิทธิถ้าไม่ใช่หน่วยงานภาครัฐแล้ว จะต้องดำเนินการอย่างไร เช่น กระทรวงการคลัง จะมีกรมศุลกากร ที่จะต้องวางเรื่องของอากร หากไม่ใช่ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ อาจจะต้องมีหลักประกันมาวางค้ำเรื่องของอากร เป็นต้น
ขณะที่การลดค่าเช่ากับบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) จะมีการทำได้หรือไม่นั้น จะต้องมีการเจรจาร่วมกัน ซึ่งที่ผ่านมาอาจจะมีค่าเช่าเป็นอัตราเช่ารัฐวิสาหกิจด้วยกัน แต่ขณะนี้ก็ต้องเป็นอัตราเช่าที่ 2 หน่วยงานจะต้องหารือกัน