คลัง เตรียมเม็ดเงินกว่า 7.58แสนล้านบาท ให้ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ออกมาตรการดูแลเศรษฐกิจ

  • หวังฟื้นฟูผลกระทบหลังโควิด-19 ยาวถึงปี 64
  • หากไม่ออกมาตรการใหม่ ก็เดินหน้าโครงการเดิม

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 17 ส.ค.นี้ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน นายปรีดี ดาวฉาย รมว.คลัง จะมอบนโยบายต่อผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงการคลัง โดยทางกระทรวงการคลังจะรายงานถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และมาตรการที่จะนำมาใช้ดูแลเศรษฐกิจระยะต่อไป ซึ่งจะนำมาใช้ในช่วงปลายปี 2563 ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2564 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเนื่องจากนโยบายเดิม 

สำหรับเม็ดเงินที่นำมาใช้ดูแลเศรษฐกิจระยะต่อไป จะมีวงเงินจากส่วนต่างๆ 4 ส่วน วงเงินกว่า 758,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.วงเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนจากโควิด-19 ในพระราชกำหนด(พ.ร.ก.)กู้เงิน 550,000 ล้านบาท ที่ยังเหลือกว่า 180,000 ล้านบาท สามารถเก็บไว้เป็นกระสุนสำรองหากไทยเกิดการระบาดรอบ 2 และต้องล็อกดาวน์อีกครั้งเหมือนในหลายประเทศได้ โดยไทยสามารถนำเงินส่วนนี้มาใช้ดูแลประชาชนได้ 

2.วงเงินฟื้นฟูเศรษฐกิจ 400,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้คณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบประมาณไปแล้วประมาณ 50,000 ล้านบาท ยังเหลือวงเงินอีกกว่า 350,000 ล้านบาท ทั้งนี้แม้จะมีโครงการเสนอมาบางแล้ว แต่ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ก็สามารถออกมาตรการเพื่อใช้เงินตรงนี้ตามกรอบของกฎหมายได้  3.วงเงิน พ.ร.บ.โอนงบ ในประมาณปี 2563 จำนวน 88,000 ล้านบาท และ 4.วงเงินในงบประมาณประจำปี 2564 ซึ่งกันวงเงินไว้สำหรับโควิด-19 ประมาณ 140,000 ล้านบาท

“ ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ สามารถใช้เม็ดเงินดังกล่าวออกโครงการหรือมาตรการใหม่ๆ เพื่อมาดูแลเศรษฐกิจในระยะต่อไป หรือหากไม่ออกมาตรการ ก็สามารถใช้โครงการเดิมที่เคยเตรียมไว้ได้ ขึ้นอยู่กับนโยบายของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร” 

ทั้งนี้มาตรการที่ออกมาก่อนหน้านี้ ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และหลายมาตรการยังดำเนินการอยู่ เช่น การฟื้นฟูใช้เงิน 400,000 ล้านบาท จากพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตามมีข้อเรียกร้องจากภาคเอกชนที่อยากให้ออกมาตรการเพิ่มเติมแม้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจจะดีขึ้นมาก แต่ก็ยังดีขึ้นไม่เท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพราะยังมีบางธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว อาทิ ภาคการส่งออก เอสเอ็มอี  เป็นต้น ดังนั้นหากจะมีมาตรการเพิ่มเติมจะเน้นให้ความช่วยเหลือในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบก่อน