คลัง รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 61.30

คลัง รายงานสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ 61.30 ในภาวะปกติ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพื่อนำไปใช้ในการลงทุน

  • ความน่าเชื่อของไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ
  • ภาคการคลังสาธารณะยังคงแข็งแกร่ง

นายอนุชา บูรพชัยศรี  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบสัดส่วนหนี้สาธารณะตามมาตรา 50 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561  ณ วันที่ 31 มีนาคม 2566 ตามที่กระทรวงการคลังรายงาน โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี)อยู่ที่ร้อยละ 61.30 ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบการบริหารหนี้สาธารณะที่คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐกําหนดไว้ที่ไม่เกินร้อยละ 70 มีหนี้สาธารณะ  จำนวน 10,797,505.46 ล้านบาท  จีดีพีจำนวน  17,615,169 ล้านบาท

ขณะที่สัดส่วนภาระหนี้ของรัฐบาลต่อประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ  กรอบที่คณะกรรมการกำหนด ไม่เกินร้อยละ 35  สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ร้อยละ 30.91 ภาระหนี้รัฐบาล จำนวน 805,677.79 ล้านบาท ประมาณการรายได้ประจำปีประมาณ  จำนวน 2,606,589.21 ล้านบาท สัดส่วนหนี้สาธารณะที่เป็นงินตราต่างประเทศต่อหนี้สาธารณะทั้งหมด กรอบที่คณะกรรมการกำหนด ไม่เกินร้อยละ 10   สัดส่วนหนี้ที่เกิดขึ้นจริง ร้อยละ 1.63 หนี้สาธารณะที่เป็นเงินตราต่างประเทศ  จำนวน 175,590.96 ล้านบาท

นายอนุชากล่าวว่า กระทรวงการคลังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในภาวะปกติ รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณเพื่อนำไปใช้ในการลงทุน โดยกว่าร้อยละ 75 ของเงินกู้เป็นการกู้เพื่อโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ เช่น การคมนาคมขนส่ง พลังงาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการ การศึกษา และที่อยู่อาศัย โดยหนี้สาธารณะ ณ สิ้นปีงบประมาณ 2562 ก่อนเกิดการระบาดของ COVID-19 อยู่ที่ร้อยละ 41.06 ต่อจีดีพี และเมื่อประเทศไทยต้องเผชิญกับการระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและประชาชนทั่วประเทศ รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกู้เงินกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนและทุกภาคส่วนตลอดจนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมโดยเร่งด่วน ซึ่งสอดคล้องกับการดำเนินการของรัฐบาลทั่วโลก ส่งผลให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพี ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2566 อยู่ที่ร้อยละ  61.30

นอกจากนี้บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อระดับสากลยังคงอันดับความน่าเชื่อของประเทศไทยที่ BBB+ และมุมมองความน่าเชื่อถือมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยเชื่อมั่นว่าภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) ของประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ และรัฐบาลยังมีพื้นที่ทางการคลังที่สามารถรองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคตได้

ขณะที่บทวิเคราะห์ของ บริษัท ฟิทช์ เรตติ้ง (Fitch Ratings) มองสถานการณ์ความไม่แน่นอนด้านการเมืองและการคลังภายหลังจากการเลือกตั้ง อาจเป็นปัจจัยฉุดรั้งอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในระยะสั้น เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่จะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการกำหนดนโยบายของประเทศ ความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณสำหรับปีงบประมาณ 2567 ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจำนวนมากจากการดำเนินมาตรการตามนโยบายในช่วงหาเสียง และความสามารถในการรักษาเสถียรภาพของสัดส่วนหนี้ภาครัฐ อย่างไรก็ตาม อันดับความน่าเชื่อถือของไทยยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากสถานะทางการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง กรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่มีประสิทธิภาพ การฟื้นตัวของการบริโภคภาคเอกชนและการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นสำคัญ