ครม.ทุ่ม2.5พันล้านผ่าน3มาตราการ

ครม.ทุ่ม2.5พันล้านผ่าน3มาตราการ

  • หนุนพลาสติกชีวภาพ
  • ยกเว้นภาษีสลาก ธอส.
  • ขยายพี่ช่วยน้อง

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการภาษี 3 มาตรการในการปะชุมครั้งนี้ ามาตรการแรกเพื่อสนับสนุนการระดมทุนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยออมทรัพย์ รางวัลสลากออมทรัพย์ และดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์และเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ถือสลากให้ทัดเทียมกับ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐรายอื่นที่ไม่ต้องจ่ายภาษีกรณีีนี้เช่นกัน

ทั้งนี้ สลากออมทรัพย์และรางวัลสลากออมทรัพย์จะออกจำหน่ายวันที่ 1 ส.ค.62  วงเงิน 20,000 ล้านบาท อายุ 36 เดือน ซึ่งจะทำให้รัฐต้องสูญเสียรายได้ 1,005 ล้านบาท 1.การยกเว้นภาษีดอกเบี้ยสลากออมทรัพย์ในปี 65 วงเงิน 126 ล้านบาท 2.ยกเว้นภาษีรางวัลสลากออมทรัพย์ 9 ล้านบาท  3.ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์รอบครึ่งปีหลังของปี 62 วงเงิน 145 ล้านบาท และปีถัดไปปีละ 290 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยระดมทุนสร้างบ้านให้ผู้มีรายได้น้อย

ขณะเดียวกัน ครม.ยังมีมติเห็นชอบมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพ โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายที่จ่ายเป็นค่าซื้อบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพและได้รับการรับรองจากกระทรวงอุตสาหกรรมม่หักเป็นรายจ่ายได้ 1.25 เท่า ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไป  โดยเป็นรายจ่ายตั้งแต่วันที่1 ม.ค. 2562- 31 ธ.ค. 2564 คาดว่าจะทำให้มีการเปลี่ยนมาใช้เม็ดพลาสติกชีวภาพผลิตบรรจุผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้เองทางชีวภาพประมาณ 10% ต่อปี ซึ่งกรณรนี้รัฐบาลสูญเสียรายได้ 1,300 ล้านบาท  

“ครม.ยังอนุมัติให้ขยายมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจของ SMEs (มาตรการพี่ช่วยน้อง) โดยขยายระยะเวลาการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีตามมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการรัฐวิสากิจขนาดกลางและขนาดย่อมออกไปอีก 2 ปีจากเดิมสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2561 เป็นสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2563 เพื่อสนับสนุนการสร้างมูลราคาเพิ่มทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างต่อเนื่อง ตามหลักเกณฑ์เดิมที่ได้อนุมติไปก่อนหน้า โดยบริษัทขนาดใหญ่ที่ช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็กจะสามารถนำรายจ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ ไม่เกิน 2 เท่า ของวงเงินที่จ่ายจริง มาตรการนี้คาดว่ารัฐสูญเสียรายได้ 100 ล้านบาท