คมนาคมเปิดหวูดหาเอกชนร่วมลงทุน PPP สร้างแลนด์บริดจ์ “ระนอง-ชุมพร” เชื่อมต่อ 2 ชายฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน

คมนาคมเร่งเปิดหาเอกชนร่วมลงทุน PPP มูลค่าแสนล้าน  สร้างแลนด์บริดจ์ “ระนอง-ชุมพร” เชื่อมต่อ 2 ชายฝั่งทะเล อ่าวไทย-อันดามัน ผุดท่าเรือ-มอเตอร์เวย์-ทางรถไฟ มั่นใจส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ สู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาค เพิ่มมูลค่าจีดีพี จาก 2%เป็น 10%ใน 10 ปี พร้อมทั้งช่วยร่นระยะทางเดินเรือขนส่งสินค้า2 วันไม่ต้องผ่านช่องแคบมะละกา

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษา ความเหมาะสมออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามันว่า ในปัจจุบันการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับกลุ่มประเทศทางด้านมหาสมุทรอินเดีย ต้องเปลี่ยนถ่ายสินค้าทั้งนำเข้าและส่งออกผ่านช่องแคบมะละกา (สิงคโปร์) ซึ่งเส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่อ้อมและมีระยะไกล การจราจรทางน้ำคับคั่ง มีความหนาแน่นของปริมาณเรือสูงถึง 100,000 ลำ/ปี และคาดว่าในปี 67 การรองรับปริมาณเรือของช่องแคบมะละกาจะเต็มศักยภาพ โดยคาดการณ์ว่าปี 93 ปริมาณเรือที่ผ่านจะมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้นอีก 4 เท่า

“โครงการดังกล่าวจะก่อประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจโดยตรงต่อพื้นที่ภาคใต้โดยมั่นใจว่า เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ จำทำให้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ จีดีพี.ของพื้นที่ภาคใต้เติบโตจากสัดส่วน 2% เป็น 10 % เป็นระยะเวลาต่อเนื่องอย่างน้อย 10 ปี เมื่อมีการเปิดใช้โครงการแล้ว”

ดังนั้นจึงได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ดำเนินการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษา ความเหมาะสม ออกแบบเบื้องต้น ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและวิเคราะห์รูปแบบโมเดลการพัฒนาการลงทุน (Business Development Model) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (Land bridge) ซึ่งขอบเขตของการศึกษา ประกอบด้วย 1.ดำเนินการศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ การเงิน วิศวกรรม สังคม 2.ออกแบบรายละเอียดเบื้องต้นและประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)  3.จัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ 4.วิเคราะห์จัดทำรูปแบบการพัฒนาและการลงทุน 

และ 5.สร้างความเข้าใจ พร้อมรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านตลอดระยะเวลาดำเนินงาน ทั้งนี้ คาดว่าจะดำเนินการศึกษาแล้วเสร็จภายในปี 65โดย ระหว่างการศึกษารายละเอียดของโครงการกระทรวงคมนาคมก็จะมีการเตรียมโครงการเพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา รวมถึงการจัดเตรียมละเอียดการทำ PPP เบื้องต้นคาดว่าโครงการจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ในปี 66 และใช้เวลาก่อสร้าง3 ปี หรือแล้วเสร็จในปี 68 ซึ่งก็จะใกล้เคียงกับกำหนดการแล้วเสร็จของการพัฒนาพื้นที่ EEC ของภาคตะวันออกด้วย

นายศักดิ์สยาม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการดังกล่าวคมนาคมจะบูรณาการรูปแบบการขนส่งเชื่อมโยง 2 ท่าเรือ ได้แก่ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ และท่าเรือชุมพร โดยออกแบบให้เป็นท่าเรือที่ทันสมัยหรือ Smart Port ควบคุมการบริหารจัดการด้วยระบบออโตเมชั่น รวมทั้งการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) และรถไฟทางคู่ ตลอดจนวางระบบการขนส่งทางท่อ โดยทำการก่อสร้างไปพร้อมกันในพื้นที่เดียวกัน เพื่อให้สอดคล้องตามแผนบูรณาการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเชื่อมต่อแนวเส้นทางรถไฟทางคู่ (MR-MAP) ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบจากการเวนคืนที่ดินของภาคประชาชน โดยประมาณการวงเงินลงทุนทั้งโครงการ ประมาณ 100,000 ล้านบาท ซึ่งจะให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐในรูปแบบ PPP  ทั้งนี้ เมื่อโครงการดังกล่าวดำเนินการแล้วเสร็จ จะสามารถลดระยะเวลาการขนส่งทางเรือลงได้ถึง 2 วัน ช่วยยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาค เปิดเส้นทางเดินเรือแห่งใหม่ของมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิก  

“มั่นใจว่าโครงการดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากจะมีการนำโครงการขนส่งทุกระบบมารวมกัน ยกเว้นงานระบบขนส่งทางท่อ ซึ่งการให้เอกชน 1 รายหรือกลุ่มบริษัทเข้ามาลงทุน จะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าคุ้มค่า ช่วยจูงใจให้เอกชนเกิดความสนใจมากขึ้น โดยการหาเอกชนลงทุนแบบ PPP จะมีการประกวดราคาแบบ International Bidding และรัฐบาลก็จะมีการจัดโรดโชว์และนำโครงการให้ผู้ลงทุนทราบ อย่างไรก็ตามการหารผู้ลงทุนแบบ PPP ยังคงยึดหลักให้ความสำคัญกับนักลงทุนไทยหรือ”ไทยเฟิร์ส “ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี