การท่าเรือจ่อ!เปิดให้เอกชนเข้ามาเช่าพัฒนาพื้นที่90ไร่ในท่าเรือแหลมฉบังสร้าง จุดพักรถ คอมมูนิตี้มอลล์ รองรับรถขนส่งสินค้า แก้ปัญหาจราจรติดขัด

การท่าเรือปิ๊ง!นำพื้นที่กว่า 90 ไร่ในท่าเรือแหลมฉบัง ให้เอกชนเช่าพัฒนาบริหารสร้างจุดจอดรถ คอมมูนิตี้มอลล์ ดีเดย์ปี 66 ได้เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่ บริหาร มั่นใจรองรับรถบรรทุกกว่า 3.5-3.7แสนคันต่อเดือน ที่เข้ามารับ ส่ง สินค้าตู้คอนเทนเนอร์ในท่าเรือแหลมฉบัง หวังช่วยแก้ปัญหาจราจรในท่า และ แก้ปัญหาอุบัติเหตุถถจอดข้างทางเขตถนนหลวง 

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการลดความแออัดของรุบรรทุกที่เข้ามาขนส่งสินค้า และแก้ไขปัญหาจราจรภายในท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) กทท. จึงมีนโยบายที่จะพัฒนาพื้นที่ใน ทลฉ. กว่า 90 ไร่ ทำจุดจอดรถ และ คอมมูนิตี้มอลล์ รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกในการจอดรถ พักรถ และพักผ่อน เพื่อรองรับ รถบรรทุกสินค้าที่เข้ามารอรับส่ง สินค้าในท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการศึกษารูปแบบการดำเนินงาน เบื้องต้นจะเป็นการให้เอกชนเข้ามาเช่าพื้นที่และเสนอรูปแบบการบริหารจัดการทั้งหมด ทั้งการก่อสร้างและบริหาร ส่วน กทท. จะรับผลประโยชน์ตอนแทนจากเอกชนเท่านั้น จะไม่ได้เข้าไปลงทุนด้วย คาดว่าจะสามารถเปิดประมูลให้เอกชนเข้ามาเสนอเงื่อนไขการบริหารพื้นที่และการก่อสร้างได้ภายในสิ้นปี 65 และภายในปี 66 จะเริ่มให้เอกชนเข้ามาก่อสร้าง บริหารจัดการพื้นที่ มั่นใจว่าจะรองรับรถบรรทุกหัวลาก รถบรรทุก สิบล้อที่มีกว่า 350,000-370,000 คัน ที่วิ่งเข้าออกขนส่งสินค้าในท่าเรือ ทลฉ. สะดวกสบายมากขึ้น

“ขณะนี้ได้มีการหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. .สมาคมขนส่งสินค้ารถบรรทุกแห่งประเทศไทย, สมาคมขนส่งสินค้าทางเรือ สมาคมขนส่งสินค้าทางบก และผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ถึงแนวทางที่ กทท. จะดำเนินการ เนื่องจากมองว่า จะช่วยแก้ไขปัญการจราจรติดขัดภายในท่าเรือ และ บริเวณรอบนอกท่าเรือ เนื่องจากจุดจอดรถจะรองรับผู็ขับรถและมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการพักรอ รวมทั้งจะมีระบบแจ้งเตือนว่า ถึงคิวที่รถจะออกไปสินค้าได้ตามกำหนด ซึ่งรุปแบบสร้างจุดพักรถในท่าเรือ ในหลายๆประเทศที่มีท่าเรือระดับโลกก็ดำเนินการ เช่นที่ เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์ ​จีน  เป็นต้น”

นอกจากนั้นในวันนี้(23 ส.ค.)ทาง กททท. ยังได้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกันระหว่าง กทท. และกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) เพื่อบูรณาการข้อมูลสารสนเทศร่วมกันผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์และ ช่วยสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจในการบริหารจัดการยานพาหนะให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตามที่กฎหมายกำหนด สำหรับการบูรณาการข้อมูลดังกล่าว เพื่อทำให้เกิดประสิทธิภาพด้านข้อมูลและเกิดประโยชนสูงสุดแก่ผู้ประกอบการด้านการขนส่งในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการขนส่งระหว่าง กทท. และ ขบ. โดย กทท. จะนำข้อมูลจาก ขบ. ไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ ข้อมูลทางทะเบียนยานพาหนะ ไปใช้ในการดำเนินการในระบบตัดบัญชีใบกำกับการขนย้ายสินค้าทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Matching) ที่พัฒนาเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนงานพิธีการส่งออกร่วมกับกรมศุลกากร และข้อมูลใบอนุญาตขับรถ ให้เป็นไปตามข้อบังคับว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือและท่าเรือระหว่างประเทศ (ISPS CODE)

ขณะเดียวกัน กทท. จะจัดส่งข้อมูลด้านการบรรทุกสินค้าให้กับ ขบ. เพื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของปริมาณการขนส่งสินค้า ประเภทสินค้า น้ำหนักบรรทุก รถบรรทุกที่เข้าท่าเรือและเข้าใช้งานสถานีขนส่งสินค้า          เพื่อไปกำหนดมาตรการการใช้รถที่ใช้ในการขนส่งสัตว์และสิ่งของให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 ถือเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562   ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องมีการบูรณาการฐานข้อมูลของหน่วยงานของรัฐเข้าด้วยกัน เพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินและการให้บริการประชาชน

ด้านนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ กทท. ดังกล่าว ขบ. จะนำข้อมูลรถบรรทุก เทรลเลอร์​หัวลาก ที่มีอยู๋ในระบบ ขบ.ทั้งหมดกว่า 400,000 คัน มอบให้ กทท. เพื่อให้กทท. ได้มีข้อมูลรถ ทะเบียนรถ นน.รถ เพื่อให้เวลาขนส่งได้ทราบข้อมูล ประโยชน์เพื่อป้องกันการบรรทุกเกิน เป็นต้น โดยข้อตกลงความร่วมมือฯ ฉบับนี้มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ วิธีการรับและส่งข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์จะจัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง