ในการประชุมการประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก หรือ G7 ที่เมืองคอร์นวอลล์ ประเทศอังกฤษ ดร.เทดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เข้าร่วมประชุมด้วย โดยผู้นำ G7 ได้มีการหารือเกี่ยวกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และความพยายามหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งต้นกำเนิดของการแพร่ระบาด
โดยทาง WHO ได้ยืนยันในที่ประชุมว่า สมมติฐานทั้งหมดยังคงได้รับการพิจารณา ซึ่งรวมไปถึงทฤษฎีการรั่วไหลของแล็บในเมืองอู่ฮั่น พร้อมกับท้าทายผู้นำ G7 ให้ช่วยเหลือการฉีดวัคซีนของโลกให้ได้ 70% ก่อนการประชุมสุดยอดครั้งต่อไปที่ประเทศเยอรมันในปีหน้า
ดร.เทดรอส ได้พูดคุยกับผู้สื่อข่าวภายหลังการประชุมและยืนยันว่า ประเด็นของการแพร่ระบาดได้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกกัน
ในเดือนที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง “เพิ่ม” ความพยายามในการตรวจสอบต้นกำเนิดของการระบาดใหญ่ของโคโรนาไวรัส ซึ่งรวมถึงทฤษฎีที่มาจากห้องแล็บในประเทศจีน
ดร.เทดรอสกล่าวถึงผู้คนนับล้านทั่วโลกที่เสียชีวิตจากโควิด-19 ว่า “นี่เป็นเรื่องน่าเศร้ามาก และผมคิดความเคารพว่าคนเหล่านี้สมควรได้รับคือการรู้ว่าต้นกำเนิดของไวรัสนี้คืออะไร ดังนั้นเราจึงสามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
ดร.เทดรอส ยืนยันว่า WHO กำลังเตรียมการของการสอบสวนต้นกำเนิดของโควิด-19 ในเฟสที่สอง ซึ่งเขากล่าวว่าจะต้อง “โปร่งใส” และได้รับ “ความร่วมมือ” ของจีน
เขาระบุด่วยว่าได้กระตุ้นให้ผู้นำ G7 เพิ่มความพยายามที่จะฉีดวัคซีนให้กับคนทั้งโลกได้อย่างไร
“ประเทศอื่นๆ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขากำลังเผชิญหน้าโดยไม่มีวัคซีน”
นายกรัฐมนตรีแห่งอังกฤษ ‘บอริส จอห์นสัน’ ซึ่งเป็นประธานการประชุมสุดยอด G7 ในปีนี้ ได้ท้าทายให้บรรดาผู้นำช่วยฉีดวัคซีนให้กับทั่วโลกภายในสิ้นปีหน้า ซึ่งรวมถึงความมุ่งมั่นในการจัดหาวัคซีนอย่างน้อย 1,000 ล้านโดส
สหรัฐฯ ให้คำมั่นที่จะซื้อวัคซีนไฟเซอร์ 500 ล้านโดสสำหรับประเทศยากจน ในขณะที่อังกฤษให้คำมั่นว่าจะจัดหาวัคซีนป้องกันโควิดอย่างน้อย 100 ล้านโดสให้กับประเทศอื่นๆ ภายในปีหน้า
แต่ ดร.เทดรอส เรียกร้องให้มีการส่งวัคซีนจำนวนมากขึ้น จัดส่งให้เร็วขึ้น
“ความท้าทายที่ผมตั้งไว้สำหรับผู้นำ G7 คือการยุติการแพร่ระบาดอย่างแท้จริง เป้าหมายของเราคือฉีดวัคซีนให้ประชากรโลกอย่างน้อย 70% ก่อนการประชุม G7 อีกครั้งในเยอรมนีในปีหน้า” เขากล่าว
ที่มา- news.sky.com