“กฤษฎีกา” ตอบชัดฟาร์มไก่ “ปารีณา” ยังถือเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ

  • ชี้ตอบข้อซักถามของกรมป่าไม้กรณีการดำเนินคดีที่ดิน “ปารีณา”
  • ระบุ ส.ป.ก.ยังไม่นำเข้าสู่กระบวนการจัดสรรสิทธิ์
  • เผย ส.ป.ก.-ป่าไม้ เตรียมนัดถกตีความ
  • ด้าน “ปารีณา” รุดส่งหนังสือที่กรมป่าไม้ยันดำเนินการเกี่ยวกับการแก้ข้อกล่าวหาเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ส่งบันทึกเรื่อง การบังคับใช้พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ. 2484 และ พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่กรมป่าไม้ได้มีหนังสือหารือด่วนที่สุด เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินการกรณีที่กรมป่าไม้มอบที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติและป่าไม้ถาวรที่เสื่อมสภาพแล้ว อีกทั้งมีราษฎรเข้าถือครองทำกินอยู่ให้แก่สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) นำไปปฏิรูปที่ดิน แต่ ส.ป.ก.ยังไม่นำเข้าสู่กระบวนการจัดสรรสิทธิ์ ดังนั้น ทั้ง 2 หน่วยงานจึงมีความเห็นไม่ตรงกันเกี่ยวกับสถานะของที่ดินและอำนาจหน้าที่ทางกฎหมาย

ทั้งนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาข้อหารือของกรมป่าไม้แล้ว มีความเห็นเกี่ยวกับสถานะที่ดินว่า ยังคงเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าวเป็นเพียงการกำหนดขอบเขตของที่ดินที่จะทำการปฏิรูปที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติในทันที จนกว่าจะได้มีการส่งมอบพื้นที่ให้แก่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน เพื่อจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดต่อไป 

สำหรับอำนาจหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมาย กรณีพบการกระทำความผิดฐานบุกรุกพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดินนั้น คณะกรรมการกฤษฎีกาชี้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.มีหน้าที่และอำนาจจับกุมปราบปรามหรือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้และกฎหมายอื่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานดูแลรักษาที่ดินดังกล่าวและต้องป้องกันการกระทำใด ๆ ที่เป็นผลร้ายต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายปฏิรูปที่ดิน การที่มีผู้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครอง หรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเป็นอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดินนั้น ส.ป.ก.จึงเป็นผู้ได้รับความเสียหายและมีสิทธิ์ที่จะกล่าวโทษผู้กระทำความผิด เพื่อให้มีการดำเนินการตามกฎหมายได้ แต่เนื่องจากที่ดินนั้นยังคงมีสถานะเป็น “ป่า” กรมป่าไม้จึงยังคงมีหน้าที่และอำนาจดูแลรักษาที่ดินที่เป็นป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ด้วยเหตุนี้ทั้งกรมป่าไม้และ ส.ป.ก. ต่างมีหน้าที่และอำนาจดูแลรักษาที่ดินป่าสงวนแห่งชาติในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมร่วมกันตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน 

จากหนังสือตอบข้อหารือของคณะกรรมการกฤษฎีกากลับมายังกรมป่าไม้ตามที่ระบุนั้น อธิบดีกรมป่าไม้และเลขาธิการ ส.ป.ก.จึงเตรียมจะนัดวันเวลา เพื่อประชุมกำหนดแนวทางปฏิบัติ ทั้งนี้ หากยังมีประเด็นใดที่ทั้ง 2 หน่วยงานตีความไม่ตรงกันจะต้องหาข้อยุติให้สอดคล้องกับความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา 

ทั้งนี้มีรายงานจากฝ่ายกฎหมายของทั้ง 2 หน่วยงานว่า ประเด็นที่ต้องถกกันให้ชัดเจน คือ การใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่ง น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ใช้ประกอบกิจการฟาร์มไก่ถือว่าเป็นการเข้าทำประโยชน์เพื่อเกษตรกรรมหรือกิจการอื่นอันเป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดิน เพื่อเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือไม่ จากนั้นจึงจะหาข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินคดีต่อไป ทั้งนี้ มีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า หากที่ดิน 682 ไร่ ยังคงมีสถานะเป็นป่าสงวน น.ส.ปารีณา อาจถูกดำเนินคดีอาญาทั้งตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติและ พ.ร.บ. ป่าไม้ควบคู่กัน

ล่าสุด น.ส.ปารีณา ได้เข้ายื่นหนังสือที่สำนักกฎหมาย กรมป่าไม้ แจ้งว่า จะเป็นผู้ดำเนินการเกี่ยวกับกรณีที่ถูกกล่าวหาด้วยตนเอง ไม่มอบอำนาจผู้ใดทั้งสิ้น เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นแอบอ้างแทนตนเอง