กรรมาธิการตำรวจ พร้อมส่งการบ้านสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีตำรวจทำสำนวนไม่สั่งฟ้อง “บอส อยู่วิทยา”

  • พร้อมส่งรายงานส่งให้นายกฯ ประธานสภาฯ คณะกรรมการไต่สวนอิสระ พิจารณา
  • ลั่นหากพบอัยการ-ตำรวจ ผิดจริง ให้ดำเนินการตามกฎหมายอาญามาตรา 157

นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ โฆษกคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงผลการประชุมกรรมาธิการฯว่าขณะนี้ได้พิจารณาคดีไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส กระทิงแดง ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเสร็จแล้ว ซึ่งจะส่งรายงานไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร พร้อมกับนำข้อสังเกตเสนอไปยังนายกรัฐมนตรีรวมถึงส่งให้คณะกรรมการไต่สวนอิสระชุดของนายวิชา มหาคุณ ที่แจ้งขอข้อมูลรายงานมายังกรรมาธิการฯเพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง

นายณัฏฐ์ชนน กล่าวว่า หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐเกี่ยวกับการดำเนินคดี ทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการ พิจารณาสั่งไม่ฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจเข้าข่ายกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 กรรมาธิการฯ เห็นควรให้มีการดำเนินคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล หากศาลพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความผิดอาจส่งผลให้คำสั่งไม่ฟ้องไม่ชอบด้วยกฏหมาย และต้องมีการสอบสวนพิจารณาสั่งคดีใหม่อีกครั้ง

ทั้งนี้มี 3 กรณี ที่จะไปดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐคือ ให้มีการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนโดยทายาท หรือญาติของผู้เสียหาย ให้ดำเนินคดีโดยรัฐ และยื่นกล่าวหาต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(...) เพื่อให้ทำการไต่สวนและชี้มูลความผิดฟ้องคดีต่อศาล โดยอ้างอิงเนื้อหารายงานในคดีนี้ว่า พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาผู้ต้องหา 5 ข้อหา แต่ไม่สามารถดำเนินคดีได้ในบางข้อ เนื่องจากบางข้อหาไม่สามารถรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาได้ และบางคดีขาดอายุความเพราะผู้ต้องหาหลบหนี

นายณัฏฐ์ชนน กล่าวว่า กรรมาธิการฯ จะมีความเห็นและข้อสังเกตคือ คดีนี้ตำรวจแจ้งข้อกล่าว 5 ข้อกล่าวหา แต่มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง 2 ข้อหาคือขับรถในขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ขณะที่การพิจารณาสั่งคดีของอัยการสั่งฟ้อง 4 ข้อหา โดยกรรมาธิการอ้างอิงจากการสอบข้อเท็จจริงโดยวิเคราะห์ข้อเท็จจริงและพฤติกรรมในการดำเนินคดีแล้ว เห็นว่าการใช้ดุลยพินิจของอัยการและพนักงานสอบสวนในการรวบรวมพยานหลักฐานสอบสวนเพิ่มเติม และการพิจารณาสั่งคดีไม่น่าจะถูกต้องในรูปคดี และไม่ชอบธรรมต่อสังคม

โดยกรณีที่ไม่สามารถติดตามตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีได้ ควรกำหนดให้ศาลสามารถพิจารณาคดีได้โดยไม่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ส่วนกรณีพบสารแปลกปลอมในเลือดผู้ต้องหาซึ่งอาจเกิดจากการเสพโคเคนร่วมกับแอลกอฮอล์กรรมาธิการเห็นว่า พนักงานอัยการสามารถสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาเพิ่มเติมในข้อหายาเสพติดให้โทษประเภทสองตามกฏหมายยาเสพติดให้โทษปี 2522 ซึ่งในการดำเนินคดีเพิ่มเติมดังกล่าว ไม่อาจถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ในคดีอันอาจจะนำไปสู่การสอบสวนในคดีดังกล่าวได้อีกครั้ง ตามมาตรา 147 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

นายณัฏฐ์ชนน กล่าวด้วยว่า กรณีการพิสูจน์อัตราความเร็วในการขับรถเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด กรรมาธิการฯเห็นว่าหากการพิสูจน์ความเร็วในการขับขี่รถยนต์ของผู้ต้องหามีหลักการคำนวนที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ในคดี ข้อสังเกตกรรมาธิการฯ เห็นว่ากรณีแนวคิดการนับระยะเวลาที่ผู้ต้องหาหลบหนีการดำเนินคดี เป็นส่วนหนึ่งของอายุความ เนื่องจากในระหว่างที่ผู้ต้องหาหลบหนีได้รับความทุกข์ทรมานในระหว่างหลบแล้ว เห็นว่าเป็นแนวคิดที่ไม่อาจนำมาใช้อธิบายได้ในยุคปัจจุบัน