กรมประมง เข้มตรวจเรือกลางทะเลชลบุรี หลังพบมีการใช้หนังสือคนประจำเรือปลอม

  • เจ้าของเรือโดนปรับ 4-8 แสนบาท ต่อคนประจำเรือหนึ่งคน
  • ลุยแก้ไขปัญการทำประมงผิดกฎหมายอย่างจริงจัง
  • หวังสร้างความมั่นคงในอาชีพประมง

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565 เวลา 08.30 น. ณ สะพานปลาวราสินธ์ ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง แถลงข่าวเกี่ยวกับการตรวจพบการใช้หนังสือคนประจำเรือสำหรับแรงงานต่างด้าว (Seabook) ปลอม หลังเมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ออกปฏิบัติการตรวจกลางทะเลตามแผนปกติ และได้มีการตรวจพบแรงงานต่างด้าว จำนวน 11 ราย บนเรือประมงอวนลากคู่ ใช้เอกสารแทน seabook ปลอม และมีการขยายผลโดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก ชลบุรี ได้ตรวจพบการใช้เอกสารปลอมในลักษณะเดียวกัน จำนวน 4 ราย จึงได้ออกคำสั่งเรียกเรือประมง กลับเข้าฝั่ง และพบแรงงานต่างด้าวใช้เอกสารปลอมจริง ซึ่งทั้ง 2 กรณี เจ้าหน้าที่จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ นำผู้ต้องหาและของกลาง ส่งยัง สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อดำเนินคดีต่อไป รวมเรืออวนลาก 2 คู่ (เรือ 4 ลำ) และแรงงาน 15 ราย

นายบัญชา สุขแก้ว รองอธิบดีกรมประมง ได้รับมอบหมายจากนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย โดยในส่วนของแรงงานภาคการประมง มีการประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพและสวัสดิการแรงงานประมงที่เจ้าของเรือประมงจะต้องดำเนินการไว้อย่างชัดเจน อาทิ ค่าจ้าง เงินตอบแทน หลักประกันสุขภาพ วันหยุดพักผ่อน เวลาทำงาน อาหารน้ำดื่ม ที่พัก ฯลฯ และหากเจ้าของเรือไม่ปฏิบัติตามมีโทษทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานต่างด้าวบนเรือประมง ซึ่งจะต้องมีหนังสือคนประจำเรือ (seabook) เพื่อบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวให้อยู่ในระบบที่รัฐสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึงเป็นการป้องกันการค้ามนุษย์ โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องเข้มงวดกวดขั้นในเรื่องนี้เป็นพิเศษ โดยใช้หลัก 3 ป. คือ ป้อง ปราม และปราบ ซึ่งที่ผ่านมากรมประมงได้ดำเนินการในเรื่องของการควบคุมเฝ้าระวังป้องกันและแก้ไขปัญการทำประมงผิดกฎหมายและแรงงานประมงผิดกฎหมายอย่างจริงจัง

ล่าสุด เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2565 ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่หน่วยป้องกันและปราบปรามประมงทะเลอ่างศิลา (ชลบุรี) กองตรวจการประมง ว่าขณะเจ้าหน้าที่นำเรือตรวจตรวจการประมงทะเล 213 ออกปฏิบัติการตรวจปราบปรามและควบคุมการทำประมงผิดกฎหมาย บริเวณอ่าวแสมสาร ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นการตรวจตามแผนปฏิบัติการปกติและตรวจเพื่อดูแลคุ้มครองแรงงาน ปรากฏพบเรืออวนลากคู่ ซึ่งมีแรงงานต่างด้าว จำนวน 11 ราย ใช้เอกสารประกอบแทน seabook ปลอม และมีการขยายผลโดยเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า – ออก ชลบุรี ว่าได้ตรวจพบเหตุอันควรสืบค้นการใช้เอกสารปลอมในลักษณะเดียวกันในแรงงานต่างด้าว จำนวน 4 ราย จึงได้ออกคำสั่งเรียกเรือประมงทั้ง 2 ลำ กลับเข้าฝั่ง และร่วมกับเจ้าหน้าที่ชุดตรวจสหวิชาชีพ ประกอบด้วย ศรชล กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กรมการจัดหางาน และล่าม ซึ่งพบแรงงานต่างด้าวใช้เอกสารปลอมจริง เจ้าหน้าที่จึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษ นำผู้ต้องหาและของกลาง ส่งยัง สภ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อดำเนินคดีต่อไป

โดยทั้ง 2 กรณีดังกล่าวเป็นการกระทำความผิดพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามมาตรา 83 ฐานความผิด : เป็นเจ้าของเรือใช้แรงงานต่างด้าวทำงานบนเรือโดยไม่มีหนังสือคนประจำเรือ ซึ่งต้องได้รับโทษตามมาตรา 153 ปรับ 400,000 – 800,000 บาท ต่อคนประจำเรือหนึ่งคน ซึ่งกรณีนี้ เจ้าของเรือประมงอวนลากคู่ เคสที่ 1 มีแรงงานต่างด้าวใช้เอกสารปลอม 11 ราย ต้องเสียค่าปรับไม่ต่ำกว่า 4,400,000 บาท ส่วนอวนลากคู่ เคสที่ 2 มีแรงงานต่างด้าวใช้เอกสารปลอม 4 ราย ต้องเสียค่าปรับไม่ต่ำกว่า 1,600,000 บาท และมีความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมด้วย อีกทั้งกรมประมงจะดำเนินการมาตรการทางการปกครองโดยเพิกถอนใบอนุญาตทำการประมงของเจ้าของเรือ และเจ้าของเรือจะเป็นบุคคลต้องห้ามตามมาตรา 39 ขาดคุณสมบัติในการได้รับใบอนุญาตทำการประมงในรอบถัดไป เป็นเวลา 5 ปี และกรมประมงจะขยายผลติดตามกรณีนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

โดยหลังจากนี้ กรมประมงจะมีการขยายผลต่อไปว่ามีการลักลอบกระทำความผิดในลักษณะนี้อีกหรือไม่ และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับพี่น้องชาวประมง และเข้มงวดในการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทำประมงผิดกฎหมายและการแก้ไขปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตาม กรมประมงต้องขอขอบคุณพี่น้องชาวประมงส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติตามกฎหมายและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ซึ่งสุดท้ายแล้วจุดมุ่งหมายเดียวกันคือเพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรสัตว์น้ำและความมั่นคงของอาชีพประมง