กรมบัญชีกลาง แจกแจง จ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พ.ย. – ธ.ค. 64

  • เงินเข้าทุกวันที่ 1 ของเดือน ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้
  • ทุกวันที่ 18 ของเดือน สามารถกดเป็นเงินสดได้

นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เห็นชอบและอนุมัติการเพิ่มวงเงินสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากผลกระทบ COVID-19 โดยโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 ได้เพิ่มวงเงินค่าซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าราคาประหยัดพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น และค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการจากร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 เพิ่มเติมอีก จำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือน พฤศจิกายน – ธันวาคม 2564 นั้น กรมบัญชีกลางจึงขอชี้แจงเกี่ยวกับการจ่ายเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดังนี้ 

ทุกวันที่ 1 ของเดือน (ไม่สามารถกดเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป)
– วงเงินซื้อสินค้า 700/800 บาทต่อเดือน (เป็นวงเงินเดิม 200/300 บาท และวงเงินจากโครงการเพิ่มกำลังซื้อ 500 บาท)
– ส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม 45 บาทต่อ 3 เดือน
– ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประกอบด้วย
 ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อเดือน
ค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน
ค่าโดยสารรถไฟฟ้า ขสมก./ MRT/ BTS และ ARL 500 บาทต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล)

ทุกวันที่ 18 ของเดือน (สามารถกดเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้)
– เงินคืนค่าไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สำหรับผู้ถือบัตรฯ ที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน)
– เงินคืนค่าน้ำประปา 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน
(สำหรับผู้ถือบัตรฯ ที่ใช้น้ำประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ำประปาไม่เกิน 100 บาท ส่วนที่เกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชำระเอง)

ทุกวันที่ 22 ของเดือน (สามารถกดเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้) เงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 บาทต่อเดือน

สำหรับโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ให้แก่กลุ่มที่มีรายได้น้อย นอกจากนี้ยังเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 ของปี พ.ศ. 2564 จากการเพิ่มการบริโภคภายในประเทศ ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการมากขึ้น