กรมควบคุมโรค หารือสิงคโปร์สำหรับมาตรการความปลอดภัยผู้โดยสารเรือสำราญแวะเที่ยวภูเก็ต

  • ตรวจ ATK ก่อนเดินทาง 24 ชั่วโมง ต้องได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว
  • จำกัดจำนวนผู้โดยสารที่ลงมาจากเรือเป็นกลุ่มเล็ก
  • ยังรอข้อเสนอจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอ ศบค. เพื่อพิจารณาต่อไป

นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมผู้เกี่ยวข้อง หารือกับนายเควิน ฉ็อก เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐสิงคโปร์ ประจำประเทศไทย และนายอเล็กซานเดอร์ ลิม เลขานุการเอก (แผนกการเมือง) โดยยนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้แทนจากกองด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศและกักกันโรค สำนักงานความร่วมมือระหว่างประเทศ และสถาบันเวชศาสตร์ป้องกันศึกษา ร่วมประชุมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการ Vaccinated Travel Lane (ทางทะเล)

ทั้งนี้โครงการนำร่องเรือสำราญจากสิงคโปร์แวะพักผ่อนท่องเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต เปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศสิงคโปร์ให้สามารถเข้ามาท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ตทางเรือ ในช่วงครึ่งหลังของปี 65 เป็นเวลาสั้นๆ 6-8 ชั่วโมง ผู้โดยสารต้องจองล่วงหน้า และมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ครบโดส  2.ผลตรวจการติดเชื้อโควิด 19 ด้วยชุดตรวจ ATK มีผลเป็นลบภายใน 24 ชั่วโมงก่อนเดินทาง เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางถึงภูเก็ตแล้วไม่ต้องตรวจด้วยวิธี RT-PCR ซ้ำอีก และการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในภูเก็ตเป็นไปตามตารางเดินทางที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วเท่านั้น โครงการนำร่องดังกล่าว จะดำเนินการภายใต้มาตรฐานความปลอดภัย ได้แก่ การจำกัดจำนวนผู้โดยสารที่ลงมาจากเรือเป็นกลุ่มเล็ก นักท่องเที่ยวต้องปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือ โดยไกด์นำเที่ยวต้องฉีดวัคซีนครบโดสและตรวจการติดเชื้อโควิด 19 เป็นประจำ  ทั้งนี้ ทางสิงคโปร์จะเสนอรายละเอียดของโครงการนี้ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำข้อเสนอสุดท้ายเข้าพิจารณาในการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต่อไป

“ประเทศไทยและอีกหลายประเทศเตรียมพร้อมเปลี่ยนผ่านของโรคโควิด 19 จากโรคระบาดใหญ่เป็นโรคประจำถิ่นในระยะต่อไป (Post pandemic) โดยให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นที่ผ่านมา สิงคโปร์ได้แลกเปลี่ยนวัคซีนจำนวน 122,400 โดส และชุดตรวจ ATK ซึ่งไทยได้เคยมอบชุดตรวจชนิด RT-PCR ให้กับสิงคโปร์เช่นกัน ความร่วมมือของทั้งสองประเทศจะสร้างความมั่นคงทางสุขภาพของประชาชนในภูมิภาคนี้ได้เป็นอย่างดี”