กทปส. โชว์นวัตกรรมวิจัย “Skan & Go” โปรแกรมล้ำรับมือสู้โควิด-19

OLYMPUS DIGITAL CAMERA
  • รู้พื้นที่เสี่ยง-รู้จุดเช็คอินสุดปลอดภัย
  • เตรียมหนุนการใช้งานฟรีทุกพื้นที่ทั่วไทย

นายนิพนธ์ จงวิชิต ผู้อำนวยการกองทุนวิจัยและพัฒนา กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมเพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.)  เปิดเผยว่า กทปส. ได้ให้การสนับสนุน ภายใต้งบประมาณให้สถานพยาบาลของรัฐต่อสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 (รอบที่ 2) รวมมูลค่า 6.2 ล้านบาท จนเกิดเป็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม คือ “Skan & Go” จากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โปรแกรมที่ช่วยเก็บเรคคอร์ดทุกจุดเช็คอิน เพียงสแกนคิวอาร์โค้ด (QR Code) และไปต่อ เพื่ออำนวยความสะดวกต่อการติดตามประวัติการเดินทางของผู้ป่วยย้อนหลัง 

นอกจากนี้ ยังพร้อมสนับสนุนให้ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป นำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ดี กทปส. เล็งผลักดันการพัฒนานวัตกรรมแห่งอนาคต ที่มีอินเตอร์เน็ตเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการพัฒนา เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงองค์ความรู้หรือการแจ้งเตือนที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในภาคประชาชน

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ นริศ กิจณรงค์ รองคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กรและกิจกรรมเพื่อสังคม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ศักยภาพและความเชี่ยวชาญของแพทย์ไทย รวมถึงสถานพยาบาลไทย นับเป็นมาตรฐานการรักษาที่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศอย่างไร้ข้อกังขา แต่ทว่า การติดตามและควบคุมโรคไม่ให้ขยายเป็นวงกว้าง ยังเป็นข้อจำกัดด้วยปัจจัยของการเกิดโรคอุบัติใหม่ ทีมวิจัยคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล จึงทำการศึกษากรณีต่างประเทศที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว อย่าง “จีนและเกาหลีใต้” ซึ่งพบว่า เป็นการหยิบยกเทคโนโลยี Tracking and Tracing มาประยุกต์ใช้ในการบันทึกประวัติการเดินทางของประชากร ในสมาร์ทโฟน เพื่อช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบถึงประวัติการเดินทางย้อนหลังของผู้ติดเชื้อ ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำขึ้นว่า เดินทางไปที่ใดบ้าง 

อีกทั้งเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการเชิงพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและถือกำเนิด โปรแกรม “Skan & Go” ซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนางานวิจัยอันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะจาก กทปส. กว่า 6 ล้านบาท โปรแกรมที่ช่วยให้การเรคคอร์ดทุกจุดเช็คอินเป็นเรื่องง่าย เพียง “สแกนและไปต่อ” ที่มาพร้อมฟังก์ชันในการแสดงผลความเสี่ยงของพื้นที่นั้น ๆ ใน 3 เฉดสี คือ “สีแดง” พื้นที่ติดเชื้อ “สีส้ม” พื้นที่เสี่ยงติดเชื้อและอยู่ระหว่างการตรวจสอบ และ “สีเขียว” พื้นที่ปลอดภัย อีกทั้งยังมาพร้อมความสามารถในการเช็คเอาท์อัตโนมัติ เมื่อเช็คอินโลเคชันใหม่ ทั้งนี้ ประวัติการเดินทางทั้งหมดจะถูกเก็บเป็นความลับในฐานข้อมูลกลาง แต่ในกรณีที่ผู้ใช้งานได้เช็คอินในที่เดียวกับผู้ป่วยโควิด จะได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ทันที เพื่อทำการตรวจหาเชื้อโควิดโดยละเอียด นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถดาวน์โหลดประวัติการเดินทางในรอบ 14 วันให้กับทีมแพทย์ได้ทันที เพื่อลดขั้นตอนการซักประวัติการเดินทาง รวมทั้งป้องกันการตกหล่นในการให้ข้อมูลของผู้ป่วย  

ทั้งนี้ โปรแกรมดังกล่าว มุ่งประโยชน์แก่ผู้ใช้งานใน 4 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชนผู้ใช้งาน ที่จะได้ทราบถึงระดับความเสี่ยงของพื้นที่ปลายทางว่าอยู่ระดับใด ผู้ประกอบการเจ้าของสถานที่ มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ในการปิดหรือเปิดสถานประกอบการ บุคลากรทางการแพทย์ สามารถใช้ตรวจสอบประชาชนที่เข้ามาใช้บริการต่อผู้ป่วย ในช่วงเวลานั้น ๆ ว่าเป็นใครบ้าง พร้อมทำการส่งข้อความ SMS แจ้งเตือน เพื่อกลับเข้ามาตรวจหาความเสี่ยงติดเชื้อ และ เจ้าหน้าที่ควบคุมโรค ที่สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์พื้นที่เสี่ยง เพื่อวางมาตรการในการทำความสะอาดพื้นที่ รวมถึงการนำเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าสู่กระบวนการตรวจวินิจฉัยโรค โดยโปรแกรมนี้มีได้นำร่องใช้จริง ณ โรงพยาบาลศิริราช เรียบร้อยแล้ว โดยมีการติดตั้งจุดสแกน QR Code รวมกว่า 700 จุด ที่มีอัตราการรวมตัวของคนจำนวนมาก โดยรอบโรงพยาบาล อาทิ ห้องบัตร ห้องตรวจ ห้องจ่ายยา

ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายภาคส่วน รวมถึงภาคประชาชน ได้นำโปรแกรม “Skan & Go” ไปใช้ในพื้นที่ต่าง ๆ มากกว่า 1,000 จุดทั่วประเทศไทย โดยหากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สถานประกอบการ รวมถึงประชาชนท่านใดที่สนใจ สามารถแจ้งความประสงค์มาได้ที่ คณะแพทย์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล โทรศัพท์ 02 419 7000 (ในวันและเวลาราชการ) เพื่อดำเนินการจัดหาเจ้าหน้าที่ ในการอบรมพร้อมให้คำแนะนำการใช้งานโดยละเอียดเป็นลำดับต่อไป 

ทั้งนี้ ทีมวิจัยคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขอขอบคุณ กสทช. กทปส. ที่ได้ให้การพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ ในการพัฒนาโปรแกรม “Skan & Go” ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม และสามารถนำไปปรับใช้ในบริบทต่าง ๆ ได้อย่างรัดกุมและตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้งานของผู้คนอย่างแท้จริง