กกร. เคาะปรับจีดีพีปี 65 โต 2.75-3.5% เดิมคาดไว้ที่ 2.5-4% พร้อมปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อเป็น 5-7%

  • พร้อมปรับมูลค่าส่งออกปีนี้ เป็น 5-7% จากเดิม 3-5% เนื่องด้วยค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลงมาก
  • เผยเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางความเสี่ยงที่รุมเร้าต่อเนื่อง ทั้งจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ-ยุโรป
  • ชี้อัตราเงินเฟ้อไทย อยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์
  • จี้เสนอภาครัฐช่วยสนับสนุน 3 ด้าน ทั้งเร่งใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ให้เป็นไปตามเป้าหมาย
  • พิจารณาปรับราคากลางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ให้มีความเหมาะสม
  • แนะภาครัฐอำนวยความสะดวกธุรกิจภาคการท่องเที่ยว

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. มีมติปรับกรอบคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2565 มาอยู่ที่ 2.75-3.5% จากเดิมเมื่อเดือนมิ.ย.65 คาดการณ์ไว้ที่ 2.5-4.0% เนื่องจากเห็นว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางความเสี่ยงที่รุมเร้าต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯ และยุโรป มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในระดับสูงเป็นประวัติการณ์

ทั้งนี้ กกร. ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเป็น 5-7% จากเดิม 3-5.5% และมูลค่าส่งออกไทยปีนี้ เป็น 5-7% จากเดิม 3-5% เนื่องด้วยค่าเงินบาทมีการอ่อนค่าลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่ยังคงมองว่าการส่งออกไทยยังมีความท้าทายมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 65 นี้

“เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว ท่ามกลางความเสี่ยงที่รุมเร้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนและความสามารถในการบริหารต้นทุนของภาคการผลิต ขณะที่ต้นทุนทางการเงินกำลังเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ดังนั้นเศรษฐกิจโลกอาจเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ในช่วงครึ่งหลังของปี หากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และผลกระทบต่อราคาพลังงานยังไม่มีคลี่คลาย” นายผยง กล่าว

นอกจากนี้ เศรษฐกิจจีนก็ชะลอตัวอย่างมาก จากนโยบาย zero covid policy และอาจฟื้นตัวได้ช้า แม้รัฐบาลจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งหมดนี้ทำให้ภาคการส่งออกของไทยเผชิญความท้าทายมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง

ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในระดับสูงก็กดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แม้ว่าการท่องเที่ยวของคนไทยภายในประเทศจะฟื้นตัวได้ดีถึงระดับกว่า 80% ของภาวะปกติในช่วงครึ่งปีแรก และในช่วงครึ่งปีหลัง จะมีแรงส่งเพิ่มเติมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากช่วงครึ่งปีแรก 

โดยจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงในระดับ 6-8% ในช่วงที่เหลือของปีมีแนวโน้มกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย โดยทำให้กำลังซื้อของภาคครัวเรือนลดลง และต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการเงินในประเทศสูงขึ้นตามไปด้วย

นายผยง กล่าวต่อว่า ที่ประชุม กกร. ประเมินว่า เศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้ แต่ต้องบริหารจัดการปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะปัจจัยด้านเงินเฟ้อ ที่ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนและธุรกิจในวงกว้าง และยังรวมไปถึงการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะมีผลต่อต้นทุนทางการเงิน

นายผยง กล่าวอีกว่า จากสถานการณ์ที่กำลังปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ แต่เนื่องจากปัจจัยในด้านเศรษฐกิจที่ยังคงมีความเสี่ยงจากผลกระทบเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันดีเซลที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแบกรับต้นทุนการผลิต การขนส่ง และราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น กกร. จึงเสนอให้ภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนใน 3 ด้าน ดังนี้

1.ขอให้เร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐให้เป็นไปตามเป้าหมาย เพื่อให้เม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงเร่งรัดการดำเนินโครงการลงทุนร่วมกับภาคเอกชน (PPP) ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาวะที่การใช้จ่ายของครัวเรือนอ่อนแอ จากภาวะเงินเฟ้อสูง

2.ขอให้พิจารณาปรับราคากลางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้มีความเหมาะสม สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของผู้ประกอบการที่ได้รับการว่าจ้างให้ทำงานหรือด้านงานบริการกับภาครัฐ เนื่องจากต้นทุนสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ มีการปรับราคาสูงขึ้นกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้มาก ทั้งนี้ เพื่อให้ภาคเอกชนสามารถดำเนินการได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น

3.ขอให้ภาครัฐอำนวยความสะดวกธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง เช่น การเพิ่มเที่ยวบินระหว่างประเทศ ซึ่งคาดหมายว่าหากมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศมากขึ้น จะส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตมากกว่าที่คาดการณ์ไว้