“ไอแอม” กวาดกำไรครึ่งปีแรก 490ล้าน



  • วางแผนระยะยาวก้าวสู่บริษัทบริหารสินทรัพย์ยั่งยืน
  • พร้อมตั้งเป้าเก็บหนี้ได้ตามเป้าหมาย 2,500 ล้านบาท
  • เล็งชงคลังขอรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพมาดูแลเอง

นายธงรบ ด่านอำไพ ผู้จัดการบริษัทบริหารสินทรัพย์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จำกัด (บสอ.) หรือไอแอม เปิดเผยว่า  การดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปี 2562 (ม.ค. – มิ.ย. 2562) บริษัทฯสามารถเรียกเก็บหนี้ได้มากกว่า 1,300 ล้านบาท และมีกำไรจากผลการดำเนินงาน 591 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิหลังหักภาษี 490 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีแนวทางในการบริหารจัดการลูกหนี้ โดยเน้นเจรจาลูกหนี้รายใหญ่พร้อมให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้เพื่อหาข้อยุติร่วมกันในการพลิกฟื้นธุรกิจ ในลักษณะการปรับโครงสร้างหนี้และเรียกเก็บหนี้เพื่อปิดบัญชีลูกหนี้ด้วยการจำหน่ายทรัพย์สินหลักประกันหรือการหาผู้ร่วมลงทุนใหม่ ควบคู่ไปกับการดำเนินคดีบังคับคดีให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว  

สำหรับลูกหนี้รายย่อยจะใช้แนวทางในการบริหารประสิทธิภาพการติดตามรับชำระหนี้จากบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญภายนอก(Outsource)กับลูกหนี้รายย่อยบางกลุ่ม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเร่งรัดการติดตามทวงถามให้ได้ผลรวดเร็ว

สำหรับทิศทางใน 6 เดือนต่อจากนี้ (ก.ค. – ธ.ค. 2562) บริษัทตั้งเป้าหมายจะเรียกเก็บหนี้ให้ได้ผล หรือใกล้เคียงตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ไม่น้อยกว่าปีละ2,500 ล้านบาท เพื่อรวบรวมรายได้ชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงค์) ซึ่งจะครบกำหนดเริ่มต้นชำระในเดือนมิ.ย.ปี 2563 เป็นต้นไป และชำระต่อเนื่องทุกปีจนถึงปี 2567 โดยก่อนหน้านี้สามารถชำระตั๋วสัญญาใช้เงินให้กับไอแบงค์ได้ก่อนกำหนด จำนวน 2,000 ล้านบาท จากจำนวนเต็ม คือ 4,500 ล้านบาท ซึ่งชำระไปเป็นที่เรียบร้อยเมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว 10 ปี ตั้งแต่ปี 2562 -​2572 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเติบโตในการนำองค์กรก้าวสู่องค์กรแห่งดิจิทัล ที่มีการพัฒนาระบบการบริหารจัดการองค์ความรู้ให้มีความพร้อมควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานอย่างมีธรรมาภิบาล

“ในแผนดังกล่าว บริษัทฯมีแนวทางในการขออนุมัติกระทรวงการคลังเพื่อขอรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินภาครัฐทั้งหมด(SFI)มาบริหารจัดการ โดยไม่จำกัดเฉพาะธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยเท่านั้น เนื่องจากไอแอมเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์เพียงหนึ่งเดียวที่กระทรวงการคลังถือหุ้น 100%และมีระบบบริหารสินทรัพย์ที่ทันสมัยมีบุคลากรที่มีศักยภาพ ซึ่งในปีที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าบริษัทฯ สามารถทำกำไรในปีแรกและปีที่สองติดต่อกันอย่างต่อเนื่อง”