- “แอมเวย์” ประกาศปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในรอบ 60 ปี เพื่อรับมือการแข่งขันในยุคดิจิทัล
- งัดกลเม็ดเปิดตัวโปรแกรมใหม่ “คอร์พลัส” ยั่วใจนักธุรกิจแอมเวย์อัดฉีดเงินรางวัลระดับ 1,000 ล้านบาท
- พร้อมปล่อยหมัดเด็ดรุกหนักแพลตฟอร์มดิจิทัลออนไลน์ เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้ทุกช่วงอายุ วางเป้ายอดขายแตะ 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2568
นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า โลกยุคปัจจุบันที่เข้าสู่ยุคดิจิทัล ก็มีผลกระทบกับธุรกิจบริษัทอยู่บ้าง โดยเฉพาะธุรกิจอีคอมเมิร์ซค้าขายออนไลน์ที่กำลังเติบโต เนื่องด้วยธุรกิจของแอมเวย์ที่ผ่านมายังจำหน่ายสินค้าในรูปแบบที่ใช้ดิจิทัลน้อย โดยนักธุรกิจตัวแทนต้องนัดเจอแล้วนำสินค้าไปสาธิตให้ลูกค้าดู ซึ่งกว่าจะจบการขายได้ก็ใช้เวลาพอสมควร
“สิ่งที่จะทำให้ธุรกิจขายตรงยังคงแข่งขันอยู่ในตลาดได้ คือต้องมีการปรับตัวรับมือมุ่งสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล โดยล่าสุดบริษัทได้ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของแอมเวย์ทั่วโลก โดยการเปิดตัวโปรแกรมคอร์พลัส เพื่อปรับโครงสร้างรายได้เพิ่มเงินรางวัลพิเศษนอกเหนือจากแผนรายได้หลักให้กับนักธุรกิจแอมเวย์ทุกระดับ โดยตั้งงบเงินไว้รางวัลไว้ที่ปีละ 1,000 ล้านบาท โดยประเทศไทยจะเป็นประเทศแรกที่เริ่มใช้โปรแกรมนี้ในวันที่ 1 ก.ย.62”
ทั้งนี้นอกจากโปรแกรมคอร์พลัสแล้ว บริษัทยังเตรียมรุกหนักแพลตฟอร์มดิจิทัล อาทิ ออกแบบเว็บไซต์ใหม่ ทำแอปพลิเคชัน เพื่อให้ทันสมัยตอบโจทย์ลูกค้าคนรุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าใช้งบด้านนี้ปีละ 100 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้จัดตั้งแผนกดิจิทัลขึ้นมาเพื่อดูแลงานด้านนี้โดยตรง ซึ่งการเสริมกลยุทธ์ครั้งนี้ก็คาดว่าจะมีส่วนช่วยใช้ยอดขายแอมเวย์ประเทศไทยทะลุ 30,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 หรือ 5 ปีนับจากนี้ ทั้งนี้ช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเติบโต 10% เทียบกับส่วนเดียวกับปีก่อน สำหรับสินค้าที่ทำยอดขายโดดเด่นจะเป็นกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพ แบรนด์นิวทริไลท์ เครื่องฟอกอากาศ เครื่องสำอางอาร์ทิสทรี
“สำหรับภาพรวมตลาดธุรกิจขายตรงในปีนี้คาดว่าน่าจะเติบโตถึง 2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปี 2561 ตลาดรวมติดลบ 1% โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมธุรกิจขายตรงอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท ซึ่งแอมเวย์ก็คงยังเป็นเบอร์หนึ่งในด้านของส่วนแบ่งทางการตลาด ปัจจุบันแอมเวย์มีนักธุรกิจตัวแทนอยู่ 330,000 ราย”
นายกิจธวัช กล่าวว่า กลยุทธ์ที่บริษัทจะใช้เป็นหัวหอกในการรุกตลาดขายตรงจากนี้คงจะเน้นไปในรูปแบบโซเชียลคอมเมิร์ซมากขึ้น ซึ่งการที่แอมเวย์รุกขึ้นมาเอาจริงเอาจังพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลในครั้งนี้ก็คงเป็นอีกความท้าทายที่จะปรับรูปแบบการขายตรงแบบเก่าๆ สู่การขายตรงที่เข้าถึงความต้องการผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิในทุกช่องทางการสื่อสาร ซึ่งก็ตั้งเป้าว่าภายใน 5-6 ปีจากนี้ การจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางดิจิทัลออนไลน์ตัวเลขจะขยับแตะ 40-50% ซึ่งจากเดิมเมื่อ 5 ปีก่อน สัดส่วนอยู่ที่เพียง 2% ซึ่งปัจจุบันตัวเลขก็ขยับขึ้นค่อยๆโตต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตามในส่วนของช็อปแอมเวย์ที่เปิดอยู่ในปัจจุบัน คงมีหลายคนเกิดคำถามว่าจะเป็นอย่างไรต่อไปจะปิดตัวลงหมดหรือไม่ หากธุรกิจมุ่งที่จะไปสู่ยุคดิจิทัลที่ทุกอย่างแสนง่ายเพียงปลายนิ้วสั่งการ ก็ขอตอบว่าสำหรับในเมืองไทยช็อปหรือหน้าร้านยังคงมีบทบาทที่สำคัญอยู่
เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคคนไทยยังคงติดกับการที่ต้องเห็น สัมผัสสินค้าจริงๆก่อน อาทิ เครื่องฟอกอากาศของบริษัทราคา 50,000 กว่าบาท ให้ดูแต่รูปอธิบายรายละเอียด ลูกค้าก็คงตัดสินใจซื้อได้ยาก ซึ่งก็ต้องมีสินค้าจริงทดลองให้เห็นประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งบริษัทก็มีแผนจะปรับลุคตัวช็อปให้มีการนำเสนอที่เป็นดิจิทัลมากขึ้น มอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้ผู้บริโภคจดจำสินค้าได้ นายกิจธวัชกล่าว