

- เพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงโควิด-19
- ไม่ต้องห่วงข้อมูลส่วนบุคคล
นพ.พลวรรธน์ วิทูรกลชิต ผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)ในฐานะเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการด้านสื่อสารโทรคมนาคม และสื่อสังคมออนไลน์ ร่วมแถลงข่าวของศูนย์บริหารสถานการณ์ โควิด-19 (ศบค.) กล่าวว่า คณะทำงานบูรณาการชุดข้อมูลการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของ ศบค. ได้พัฒนาแพลตฟอร์ม ชื่อว่า “ไทยชนะ” เพื่อเป็นผู้ช่วยดิจิทัลในการทำงานเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงการแพร่กระจายโรคโควิด-19 ได้ง่ายขึ้นเมื่อมีการประกาศมาตรการผ่อนปรน ระยะ 2 ทั้งนี้ร้านไหนพร้อม ใช้ดิจิทัล ก็ใช้ ส่วนร้านใดยังไม่พร้อม ก็ต้องจดในสมุดบันทึกไปพลางก่อน
สำหรับการใช้งานแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” จะมีผู้เกี่ยวข้อง 3 ฝ่าย ได้แก่
1.กิจการ/กิจกรรมที่ได้รับการผ่อนปรน ตามมาตรการควบคุมโรค 5 ข้อ เพื่อรับ QR Code และพิมพ์ QR แปะไว้หน้าร้านค้า
2.ประชาชน เมื่อจะเข้าไปใช้บริการในร้านค้า/สถานประกอบการ check-in โดยใช้โทรศัพท์มือถือสแกนคิวอาร์โค้ดหน้าร้าน เมื่อใช้เสร็จก็ check-out ผ่านการสแกน QR อีกทั้งสามารถทำแบบประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการร้านค้านั้นๆ ซึ่งคะแนน (เรตติ้ง) จะเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้า/สถานประกอบการแข่งขันให้บริการที่ดี
3. เจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ควบคุมโรค และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีหน้าที่ตรวจการปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนฯ ของ ศบค. ในการเข้าปฏิบัติการทุกครั้ง จะต้องมีการแสดงตัวตนผู้พิทักษ์ ก่อนเข้าตรวจสอบร้านค้า ซึ่งข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้กับ “ไทยชนะ” จะแสดงข้อมูลชื่อ รูปติดบัตร และข้อมูลเจ้าหน้าที่รายนั้นๆ โดยร้านค้าสามารถสแกน QR ผ่านมือถือเพื่อตรวจสอบว่าเป็นผู้พิทักษ์จริง

“ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลในการเข้าลงทะเบียนใช้งานแพลตฟอร์มไทยชนะ เนื่องจาก ศบค. พิจารณามอบหมายให้ กรมควบคุมโรคเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล และให้กระทรวงการคลัง โดยธนาคารกรุงไทย เป็นผู้ประมวลผลข้อมูล เป็นการร่วมกันทำงานด้านระบบบูรณาการข้อมูลเพื่อบริหารสถานการณ์โควิด-19”
สำหรับจุดเด่นของแพลตฟอร์ม “ไทยชนะ” จะเป็นเครื่องมือเพื่อช่วยให้การสอบสวนโรคทำได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ขณะที่ ประชาชนและสถานประกอบการต่าง ก็สามารถปฏิบัติตามมาตรการผ่อนปรนได้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้การใช้งาน “ไทยชนะ” จะเป็นประโยชน์กับประชาชน ให้ได้รับการแจ้งเตือนหากพบความเสี่ยงในการติดเชื้อ และสามารถนำข้อมูลไปเป็นหลักฐาน เพื่อประกอบการรับการตรวจคัดกรองทาง ห้องปฏิบัติการฟรี อีกทั้งสามารถตรวจสอบความเสี่ยงของสถานที่ให้บริการ ขณะที่ ทางฝั่งผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามมาตรการ ก็จะได้รับการรับรอง อีกทั้งสามารถนำผลการประเมินมาปรับปรุงการบริการให้เป็นไปตามมาตรการที่กำหนด