- รมว.พลังงานซาอุฯระบุ มีผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
- เร่งกู้คืนปริมาณน้ำมันที่หายไป
- เกาะติดราคาน้ำมันตลาดโลกอย่างใกล้ชิด
รายงานข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศระบุว่า เกิดเหตุโดรนโจมตี โรงกลั่นน้ำมัน ขนาดใหญ่ 2 แห่งของ บริษัทอารัมโก บริษัทน้ำมันแห่งชาติของรัฐบาล ซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้โรงงานผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียซึ่งเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของโลกต้องหยุดชะงักการผลิตลงไปครึ่งหนึ่ง ส่งผลให้การผลิตน้ำมันทั่วโลกลดลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ต่อวัน
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ตามรายงานของสำนักข่าว Al-Masirah ระบุว่า กบฏ Houthi ในเยเมน ได้ประกาศความรับผิดชอบต่อการโจมตีโรงกลั่นน้ำมันในประเทศซาอุดิอารเบียเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยระบุว่า มีโดรน 10 ตัวที่ถล่มเป้าหมายไปที่โรงกลั่นน้ำมันของ บริษัทอารัมโก ที่ Abqaiq และ Khurais
ขณะที่ เจ้าชาย Abdulaziz bin Salman รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของซาอุดิอาระเบีย ได้ออกแถลงการณ์ด่วนในเช้าวันอาทิตย์(15 กันยายน) ระบุว่า การโจมตีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมันถึง 5.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปริมาณการผลิตน้ำมันรวมของประเทศซาอุดิอารเบียที่ 9.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานกล่าวว่า “บริษัท กำลังทำงานเพื่อกู้คืนปริมาณที่หายไป” ของน้ำมันและจะรายงานสถานะการณ์ต่อสาธารณะภายในสองวันถัดไป “การโจมตีนี้ไม่เพียง แต่มุ่งเน้นไปที่โรงกลั่นน้ำมันที่สำคัญของราชอาณาจักรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอุปทานน้ำมันทั่วโลกและความมั่นคงของประเทศด้วยและทำให้เกิดภัยคุกคามต่อเศรษฐกิจโลก”
ขณะที่ กระทรวงมหาดไทยของซาอุดิอาระเบียได้ยืนยันว่าการโจมตีที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดไฟไหม้ที่โรงงานทั้งสองแห่ง ในแถลงการณ์ที่โพสต์บน Twitter เมื่อคืนวันเสาร์
โดยทาง กระทรวงระบุว่า ขณะนี้ไฟอยู่ภายใต้การควบคุมและเจ้าหน้าที่กำลังสืบสวนอยู่
“ Abqaiq เป็นโรงงานน้ำมันที่สำคัญที่สุดของโลกสำหรับการจัดหาน้ำมัน การโจมตีดังกล่าวจะส่งผลให้ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นจากการโจมตีครั้งนี้” เจสัน โบดอฟ (Jason Bordoff) ผู้ก่อตั้งผู้อำนวยการศูนย์นโยบายพลังงานทั่วโลกของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียกล่าวในแถลงการณ์
ด้าน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ Mike Pompeo ระบุใน Twitter ของเขาว่า กลุ่มกบฏ Houthi ได้รับการสนับสนุนจาก อิหร่าน “ อิหร่านได้เปิดตัวการโจมตีที่ไม่เคยมีมาก่อนในการจัดหาพลังงานของโลกไม่มีหลักฐานการโจมตีที่มาจากเยเมน”
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศหรือ IEA ได้ Twitter เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่ากำลังติดตามสถานการณ์ในซาอุดิอาระเบีย “ เราได้รับการติดต่อจากทางการของซาอุดิอาระเบียรวมถึงผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ในตอนนี้ตลาดได้รับการจัดหาอย่างดีพร้อมกับหุ้นเชิงพาณิชย์ที่เพียงพอ”
IEA ระบุว่า หากการหยุดการผลิตนำมันในซาอุดิอารเบียต้องหยุดชะงักเป็นเวลานานจากการโจมตี้ครั้งนี้ “ จะทำให้การลงโทษอิหร่านที่มีอยู่แล้วมีแรงกดดันมากขึ้น” บอร์ดอฟฟ์กล่าว “ในขณะที่ ประธานาธิบดีโดนัลด์แห่งสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าเขายินดีที่จะดำเนินการกดดันสูงสุดต่อประเทศอิหร่าน แม้ว่าราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น แต่อย่างใดความเสี่ยงของการขยายตัวของภูมิภาคที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ “
นายริค เพอร์รีท รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานของสหรัฐฯ กล่าวว่า ทางกระทรวงพลังงานมีความพร้อม ที่จะนำเอาปิโตรเลียม โดยเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศ เข้าสู่ ตลาดน้ำมัน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศและทั่วโลกจำเป็น
โฆษกของกรมกล่าวในแถลงการณ์ กระทรวงพลังงาน ว่า อุปทานน้ำมันฉุกเฉินของประเทศซึ่งเป็นถังเก็บและถ้ำใต้ดินที่สร้างขึ้นหลังจากวิกฤตการณ์น้ำมันในปี 1970 มีปริมาณน้ำมันดิบ 630 ล้านบาร์เรล
ราคาน้ำมันปรับตัวลงเมื่อวันศุกร์ (13 กันยายน) โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทำให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกร่วงลง 0.3% ปิดที่ 60.22 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
รายงานจากสำนักข่าวบีบีซี ระบุว่า การโจมตีด้วยโดรน ลำแรก โจมตีโรงน้ำมันอับเคก โรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในจังหวัดอัชชัรกิยะห์ ทางภาคตะวันออก ต่อมาโดรนลำที่สองโจมตีพื้นที่บ่อน้ำมันคูห์ราอิส ทางภาคตะวันตก ภาพจากคลิปวิดีโอที่บันทึกได้แสดงให้เห็นไฟโหมไหม้และมีกลุ่มควันดำทะมึนพวยพุ่งไปทั่ว เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ดับเพลิงสามารถควบคุมไฟได้แล้ว
ขณะที่ เจ้าหน้าที่ซาอุดีอาระเบียระบุว่า สามารถควบคุมไฟไหม้ที่โรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งในเมืองอับคิกทางตะวันออกของประเทศได้แล้ว หลังถูกโจมตีจากอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน
รูปภาพจาก CNN