“มาม่า” พลิกเกมออกสินค้าใหม่ โซเดียมน้อย ซองละ 8 บาท ระหว่างรอพาณิชย์ไฟเขียวขึ้นราคาสูตรยอดนิยมซองละ 1 บาท

“มาม่า” เชื่อพาณิชย์เข้าใจถึงเหตุผลของการขอขึ้นราคา เพราะสถานการณ์ขณะนี้ต้นทุนพุ่งไม่หยุดถึงจุดขาดทุนแล้ว แต่อยู่ระหว่างรอกระบวนการพิจารณาเพราะกระทบคนส่วนใหญ่ ยืนยันระหว่างนี้สินค้ายังมีจำหน่ายไม่หายไปจากตลาดเพราะตลาดยังต้องการสูง พร้อมพลิกเกมออกสินค้าใหม่ฉลอง 50 ปี สูตรโซเดียมต่ำ ราคาซองละ 8 บาท

นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทสหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้จัดจำหน่ายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า กล่าวถึงกรณีการยื่นขอปรับราคาจำหน่ายปลีกมาม่าขึ้นอีก 1 บาทเป็นซองละ 7 บาทว่า ตนเชื่อว่าทางกระทรวงพาณิชย์มีความเข้าใจในเหตุผลที่ทางมาม่าขอไป และเข้าใจถึงกระบวนการอนุมัติซึ่งต้องใช้เวลาเพราะเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน 

ทั้งนี้สถานการณ์ของวัตถุดิบที่ขึ้นราคาในปัจจุบัน มาม่า ที่จำหน่ายซองละ 6 บาทศซึ่งมีสัดส่วนยอดขายถึง 80% นั้นถึงจุดที่บริษัทขาดทุนแล้ว แต่ยังดีที่มียอดขายจากมาม่าในตลาดพรีเมียมที่จำหน่ายราคา 10 บาท และการส่งออกที่เฉลี่ยแล้วยังพอมีกำไรอยู่บ้าง

“ระหว่างที่การอนุมัติขึ้นราคา ทางบริษัทยังยืนยันว่ายังมีการจำหน่ายมาม่าซองละ 6 ในตลาดต่อไปเพราะตลาดยังมีความต้องการอยู่ แต่อย่างไรก็ตามตลาดส่งออกก็มีความต้องการสูงเช่นกัน และกำลังผลิตมามาผลิตเต็มกำลัง 100% ซึ่งต้องให้ความสำคัญตรงนี้ด้วย”

นายเวทิต กล่าวว่า มาม่าในปีนี้ครบรอบ 50 ปี ซึ่งที่ผ่านมาเจอวิกฤตใหญ่ 2 ครั้ง คือในช่วงลดค่าเงินบาท สมัยคุณปู่ “เทียม โชควัฒนา” ซึ่งตนไม่ทันแต่ได้รับการบอกกล่าวว่ารุนแรงมาก และในครั้งนี้ไม่เคยประสบมาก่อนกับวัตถุดิบที่ยกแผงขึ้นราคาทั้งหมด เพียงแค่วัตถุดิบสำคัญที่ใช้เกินกว่า 50% น้ำมันปาล์ม ต้นุทนเพิ่ม 110% แป้งสาลีขึ้น 53% ไม่รวมต้นทุนอย่างอื่นเช่นการขนส่ง  

กลยุทธ์ของมาม่าต่อไปก็คือการรุกตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมี่ยมโดยจะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาต่อเนื่อง ในปีนี้ได้ออกมา 3 รสชาติแล้ว และล่าสุดได้แนะนำมาม่า สูตร Less Sodium มีส่วนผสมโซเดียมน้อยลง 4 รสชาติได้แก่รสต้มยำกุ้ง, หมูสับ, ต้มยำกุ้งน้ำข้นและรสหมี่น้ำใส ในราคาซองละ 8 บาท พร้อมวางตลาดต้นเดือนส.ค.

“เราไม่เคยหยุดนิ่งในการเดินหน้าพัฒนา “มาม่า” ให้มีคุณค่าและรสชาติที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกกลุ่มตามความต้องการที่หลากหลาย โดยเริ่มต้นจากการทำตลาดรสชาติแรก ได้แก่ ซุปไก่ หมูสับ และอีกหลายรสชาติ จนมาถึง ต้มยำกุ้ง ซึ่งเป็นรสชาติที่ถูกปากผู้บริโภคชาวไทย นอกจากนี้ยังมี มาม่าเจ โจ๊ก และข้าวต้ม รวมทั้งมาม่า OK นับว่าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ซึ่งหลังจากนี้ “มาม่า” จะยังคงอยู่เคียงข้างผู้บริโภคชาวไทยด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ รองรับผู้บริโภคในกลุ่มที่ดูแลสุขภาพในราคาที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้มากที่สุด” นายเวทิต กล่าว 

ตลาดบะหมี่กึ่งเร็จรูปครึ่งปีแรกที่ผ่านมารวม 8,000 ล้านบาทเติบโต 7% โดยมาม่าเติบโต 7% เช่นกัน ส่วนทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 3-5% เพราะช่วงที่ผ่านมาเติบโตสูงมาก