ต้นทุนของการทำปฏิวัติรัฐประหาร
โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
คนไทยกำลังกังวลว่าเศรษฐกิจที่ซบเซาอยู่ทุกวันนี้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด เมื่อใดจะลืมตาอ้าปากได้ อย่างที่นายกรัฐมนตรีก็ดี รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจก็ดี พูดมาตลอด 5 ปีแล้วว่าเศรษฐกิจกำลังจะดี ขอให้รออีกไม่นาน แต่ทุกคนก็รอแล้วรอเล่า ก็ยังไม่เห็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจของเราจะฟื้นตัว
ความลำบากยากแค้นของคนระดับล่างรู้กันมานาน ตั้งแต่ทหารชุดนี้ทำการปฏิวัติรัฐประหารแล้วว่า เศรษฐกิจของโลกจะเริ่มซบเซาลง แต่เศรษฐกิจไทยเริ่มซบเซาลงก่อนเศรษฐกิจโลกจะซบเซาเสียอีก มูลค่าการส่งออกของเราซึ่งมีมูลค่ากว่าร้อยละ 70 ของรายได้ประชาชาติ ขยายตัวในอัตราที่ลดลงตลอด จนกลายเป็นหดตัวเมื่อปีที่แล้ว 2561 ได้นักท่องเที่ยวชาวจีนมาชดเชย จึงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดไม่ขาดดุล แม้ว่าดุลการค้าจะขาดดุล
ประเทศไทยขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง ในขณะที่ประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่งในภูมิภาคไม่ได้ได้รับผลกระทบดังกล่าวมากเท่ากับประเทศไทย คงจะปฏิเสธได้ยากว่าการทำปฏิวัติรัฐประหารของกองทัพไทยนั้นได้ทำความเสียหายให้กับการส่งออก การลงทุนและการท่องเที่ยวของไทยอย่างมหาศาล ด้วยเหตุผลใหญ่ 2 ประการ
ประการแรก รัฐบาลเผด็จการทหารนั้น เป็นที่รังเกียจในหมู่ประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการเก่า ประเทศคอมมิวนิสต์เก่า หรือเผด็จการโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เช่น บรูไน ประเทศอาหรับในตะวันออกกลาง ประเทศเกาหลีเหนือ สำหรับประเทศเผด็จการตะวันออกลาง และบรูไนนั้น มีน้ำมัน ซึ่งชาติตะวันตกได้ประโยชน์มหาศาลจากการรับสัมปทานขุดเจาะ ตะวันตกจึงพูดไม่ออก
.ความฝันจะเป็นเสือตัวที่ 5 ดับลง
.กลายเป็นแมวตัวแรกของภูมิภาค
ส่วนจีน และรัสเซียเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เก่า แต่ก็เป็นมหาอำนาจ สหรัฐอเมริกา และยุโรปที่เป็นใหญ่จึงพูดไม่ออก อีกทั้งประเทศเหล่านี้มีความมั่นคงทางการเมือง หมดยุคที่ทหารจะทำการปฏิวัติรัฐประหารอีกแล้ว
ประเทศไทยเคยได้รับการยกย่องว่าจะเป็นแบบอย่างของประเทศเกิดใหม่ที่สามารถพัฒนาการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพมากกว่าประเทศใด ๆ ในประชาคมอาเซียน มีโอกาสจะเป็นเสือตัวที่ 5 ต่อจากเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ แต่แล้วความฝันก็ได้พังทลายเมื่อรัฐบาลดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราผิดพลาด ที่ไปตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราไว้กับตะกร้าเงินที่เต็มไปด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ทั้ง ๆ ที่ประเทศขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8 ของรายได้ประชาชาติติดต่อกันมานาน จึงเกิดสถานการณ์ที่ทั่วโลกเรียกว่าวิกฤติการณ์ “ต้มยำกุ้ง” กระจายไปทั่วโลก ดับฝันการจะเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นแมวตัวแรกของภูมิภาคไปในปี พ.ศ.2540
อย่างไรก็ตาม ระบอบการปกครองประชาธิปไตยมีส่วนช่วยให้ภาวะเศรษฐกิจไทยได้รับการฟื้นฟูให้กลับฟื้นคืนชีพโดยเร็วจนเป็นที่ประหลาดใจไปทั่วโลก วงเงินกู้จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ก็เบิกมาไม่ครบตามวงเงินและก็สามารถเจรจาคืนเงินกู้ไอเอมเอฟก่อนกำหนด ระบอบการเมืองประชาธิปไตยมีส่วนช่วยได้มาก เพราะทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไม่ถูกตัดคะแนน การเจรจาการค้าการลงทุนกับต่างประเทศ นายกรัฐมนตรีสามารถเดินทางเป็นแขกของรัฐบาลในยุโรป และอเมริกาได้ในฐานะตัวแทนของประชาชนชาวไทย
ต่างกับนายกเผด็จการทหารที่ไม่มีประเทศใดยอมรับเชิญไปเป็นแขกของรัฐบาลประชาธิปไตยในยุโรป และอเมริกา จะไปอเมริกา และยุโรปได้ก็เฉพาะไปประชุมองค์การระหว่างประเทศในฐานะประเทศสมาชิก แม้แต่จะเป็นประธานการประชุมประชาคมอาเซียนยังมีปัญหา จนมีการเลือกตั้งแม้จะเป็นการเลือกตั้งหลอกๆ เป็น “พิธีกรรม” ของเผด็จการทหาร ยังไงเสีย ตนก็ต้องได้กลับมาเป็นผู้นำรัฐบาลใหม่ เพราะตนได้ตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 250 เสียงที่มีสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
.วุฒิสภาเป็นแค่ฝักถั่วที่คอยยกมือ .เสียงสนุนทำให้รัฐไม่กระตือรือร้น
ระบอบการเมืองปัจจุบันจะเรียกว่า เป็นระบอบประชาธิปไตยไม่ได้ ต้องเรียกว่า ระบอบสืบทอดอำนาจเผด็จ การทหาร การเลือกตั้งจึงเป็นแค่ “พิธีกรรม”
องค์ประกอบของสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ประกอบด้วยข้าราชการทหาร ข้า ราชการพลเรือน ทั้งที่เกษียณอายุราชการอยู่แล้ว และยังรับราชการอยู่ ความคิดความเห็น หรือความกระตือรือร้นที่จะสร้างผลงานให้กับประชาชนเพื่อหวังผลในการเลือกตั้งคราวหน้าจึงไม่มี ยกมือไปตามโผที่กำหนดโดยประธานวิป ซึ่งก็ได้รับการประสานมาจากรัฐบาล รัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีมาจากข้าราชการจึงเป็นรัฐบาลที่ไม่สู้จะมีผลงาน ไม่มีความคิดริเริ่ม เพราะไม่จำเป็นต้องสร้างผลงานเพื่อหาคะแนนนิยมในการเลือกตั้งคราวต่อไป
เราจึงเห็นว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช.หรือ หัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐ ประหาร จึงไม่สู้จะมีผลงานอะไรที่ผู้คนจะจดจำได้ ผลงานที่มีเป็นเพียงการดำเนินโครงการที่รัฐบาลที่แล้วริเริ่มเอาไว้ นอกจากไม่มีความคิดริเริ่มโครงการใหม่ๆ แล้วยังมีอคติกับบางโครงการที่ริเริ่มไว้ก่อนแล้วด้วยซ้ำ
ในอนาคตหลังจากมีการเลือกตั้ง “พิธีกรรม” แล้ว ผู้คนก็ยังไม่รู้สึกว่าตนได้มีส่วนในการเลือกหัวหน้ารัฐบาล เพราะอย่างไรเสียหัวหน้ารัฐบาลก็เป็นคนเดิม เพราะมีเสียงสมาชิกวุฒิสภาอยู่ในมืออยู่แล้ว ฝ่ายค้านจะได้ที่นั่งเท่าใดในสภาผู้แทนราษฎรก็ไม่มีความหมายอะไร เพียงแต่จะเป็นอุปสรรคในการลงคะแนนเสียงผ่านร่างพระราชบัญญัติหรือผ่านญัตติที่สำคัญๆ เช่น ญัตติไม่ไว้วางใจหัวหน้ารัฐบาล การอยู่ในอำนาจของรัฐบาลเผด็จการทหารในช่วง 5 ปีที่แล้วจึงเป็นการเสียเวลาในการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเปล่าประโยชน์และน่าเสียดาย
.“ปฏิวัติ”ทำให้ประเทศเสียเวลา
.การเลือกตั้งเป็นแค่ “พิธีกรรม”
การปฏิวัติรัฐประหารนอกจากจะทำให้เสียเวลาในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแล้ว ยังเป็นการทำให้เสียเวลาในการพัฒนาการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตย เพราะเป็นการดึงประเทศให้ถอยหลังกลับไปกว่า 40-50 ปี กลับไปถึงสมัยรัฐบาลเผด็จการทหารที่มีการเลือกตั้ง “พิธีกรรม” ในปี 2514 จนเกิดกรณี 14 ตุลา 2516
การพัฒนาการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม เป็นเกียรติภูมิของประเทศชาติในเวทีการเจรจาต่าง ๆ ในประชาคมโลก การพัฒนาการเมืองเป็นประชาธิปไตยต้องให้เว ลาอย่างต่อเนื่อง ต้องให้ความสำคัญกว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจ แม้จะดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มีต้นทุน หรือ cost
การมีรัฐบาลเผด็จการทหาร และรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร ย่อมทำให้การดำเนินการทางเศรษฐกิจเกิดความเสี่ยงทางการเมือง สร้างต้นทุนให้กับเอกชนในการแข่งขันทั้งในเวทีการค้า และการเงินระหว่างประเทศ ถ้าประเทศไทยต้องการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ผู้ลงทุนต้องบวกความเสี่ยงทางการเมืองเข้าไปด้วย หากรัฐบาล หรือเอกชนจะประมูลขายพันธบัตรหรือหุ้นกู้
ในกรณีของเอกชนผู้ที่สนใจจะซื้อก็ต้องบวกความเสี่ยงทาง การเมืองเข้าไปด้วย ดังนั้นดอกเบี้ย หรือความเสี่ยงการลงทุนจะมากกว่าในช่วงที่ประเทศชาติมีระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ไม่ใช่เป็นรัฐบาลเผด็จการทหารหรือรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร มีหัวหน้ารัฐบาลคนเดิมที่เคย เป็นผู้ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ยังมียศ พล.อ.นำหน้าชื่อ ไม่อาจอ้างได้ว่า เป็นตัวแทนจากประชาชน เพราะระบอบการปกครองไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นแต่เพียง “พิธีกรรม” เอาไว้บังหน้าเพื่ออ้างกับชาวโลกว่า ตนมาจากการเลือกตั้งของประชาชน
ประเทศชาติจะก้าวไปข้างหน้าอย่างมีศักดิ์ศรี เทียมบ่าเทียบไหล่ในประชาคมโลกได้ ต้องเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย การทำลายระบอบประชาธิปไตยให้ย้อนกลับไป 50-60 ปี เพื่อไปตั้งกันใหม่ก็เท่ากับทำให้ประเทศล้าหลังและถอยหลังกลับไป 50-60 ปี และอาจจะต้องใช้เวลาเท่าๆ กันในการที่จะพัฒนาการเมืองให้กลับมาที่เดิม ความลักลั่นระหว่างระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจกับระดับการพัฒนาทางการเมือง จะเป็นเหตุแห่งความไม่สงบ และรอวันที่จะระเบิด
.สังคมไทยมีความแตกต่างกันสูง
.รสนิยมทางการเมืองจึงต่างกัน
การพัฒนาประชาธิปไตยต้องอาศัยความต่อเนื่องในการสะสมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน ประชาชนต้องมีประสบการณ์ในการใช้สิทธิเลือกตั้ง และมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน การใช้เวลานานดังกล่าวทำให้คนชั้นสูง และคนชั้นกลางไม่มีความอดทนพอ ไม่อดทนต่อพฤติกรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบาง คนที่มีพฤติกรรมเพื่อผู้ลงคะแนนเสียงในเขตของเขา ซึ่งมีความต้องการที่แตกต่างหรือไม่เหมือนกับคนชั้นสูงที่มีสิทธิ มีเสียงในวงสังคม
การที่สังคมไทยมีความแตกต่างกันมากระหว่างชนชั้นสูงที่มีฐานะทางเศรษฐกิจและการศึกษาสูงกว่าชนชั้นล่าง ทำให้เกิดความแตกต่างกันในเรื่องทัศนคติ และรสนิยมทางการเมือง สังเกตได้จากการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรจากต่างจังหวัดไม่ว่าจะเป็นจังหวัดในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคกลาง จะมีลีลาบุคลิกและเนื้อหาการพูดการอภิปรายที่คนชั้นสูงในเมืองรับไม่ได้ แต่เป็นที่ชื่นชอบของคนในต่างจังหวัด
โครงสร้างของระบอบการเมืองการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างนี้ จะเป็นการสะสมความกดดันระหว่างชนชั้นสูงกับชนชั้นล่างที่ไม่มีทางระบาย หากไม่ผ่อนคลายก็จะเป็นอันตรายต่อชนชั้นสูงเองในระยะยาว
ความแตกต่างเช่นนี้ทำให้คนชั้นสูงรู้สึกถึงความแตกต่างทางชนชั้นและวรรณะของตน และมักจะมีความสุขและชื่นชมรัฐบาลเผด็จการทหารที่พูดน้อย ชอบแสดงความไร้สาระ แต่ความที่ตนรู้สึกว่าเป็นรัฐบาลของชนชั้นของตน แม้ว่าจะไร้ประสิทธิภาพ ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้หรือพูดผิดๆถูกๆ เป็นตัวตลกในสายตาของคนทั่วไปก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นชนชั้นเดียวกัน แต่ถ้าเป็นนายกฯที่มาจากประชาชนก็จะถูกดูถูกเหยียดหยามอย่างรุน แรง สร้างความแตกแยกเหมือนๆกัน
การทำปฏิวัติรัฐประหาร การดำรงอยู่ของรัฐบาลเผด็จการทหาร จึงเป็นการสร้างต้นทุนทางเศรษฐกิจ และต้นทุนทางการเมืองอย่างมหาศาลที่ประมาณค่าไม่ได้
ที่สำคัญก็คือทำให้คนไทยล้าหลังทางสติปัญญา ถอยกลับไปกว่าครึ่งศตวรรษถ้าเปรียบเทียบกับประชาคมโลกโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่เผด็จการทหารพูดจาดูถูกดูหมิ่นผู้แทนราษฎร และประชาชนอยู่เป็นนิตย์
แต่ประชาชนก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร