

- “กรมสรรพสามิต” จ่อเก็บภาษีรถจักรยานยนต์รูปแบบใหม่ต้นปี 2563
- สิงห์นักบิดบิ๊กไบค์มีกระอัก อาจเสียภาษีเพิ่มคันละเป็นแสนบาท
- แนะปรับใช้เครื่องยนต์เทคโนโลยีรักษ์โลก ช่วยเรื่องภาษีได้
นายณัฐกรอุเทนสุตผู้อำนวยการสำนักแผนภาษีในฐานะรองโฆษกกรมสรรพสามิตเปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)รับทราบการเก็บภาษีสรรพสามิตรถจักรยานยนต์รูปแบบใหม่จากเดิมที่เก็บตามขนาดเครื่องยนต์มาเป็นตามการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์(CO2)เพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนพัฒนาเครื่องยนต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆที่ช่วยประหยัดพลังงานและลดปัญหามลพิษรวมถึงปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กPM2.5ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในขณะนี้ด้วย
ทั้งนี้ รัฐบาลชุดที่แล้วได้เห็นชอบเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่เดือน พ.ค.ที่ผ่านมา แต่เมื่อมีคณะรัฐมนตรีจากรัฐบาลใหม่ กรมสรรพสามิต จึงเสนอให้รับทราบอีกครั้ง โดยภาษีใหม่จะเริ่มเก็บกับรถที่นำออกจากโรงงานหรือนำเข้ามาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2563 เป็นต้นไป


ขณะที่รถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่เครื่องยนต์เกิน 1,000 ซีซี. ขึ้นไป หรือที่เรียกว่า “บิ๊กไบค์” ซึ่งมีราคาแพงคันละกว่า 1 ล้านบาท บางค่ายอาจต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นคันละนับแสนบาท แต่บางค่ายก็อาจเสียภาษีน้อยลงคันละเป็นหลักแสนบาทเช่นกัน โดยขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ใช้ เพราะหากเป็นเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน ปล่อยมลพิษน้อย จะเสียภาษีน้อยลง แต่หากปล่อยมลพิษมากก็ต้องเสียภาษีมาก เนื่องจากเป็นการเก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้า
สำหรับอัตราภาษีรถจักรยานยนต์ใหม่ จะมีผลทำให้รถจักรยานยนต์ขนาดไม่เกิน 150 ซีซี. ที่มีจำนวนการใช้งานเป็นส่วนใหญ่ถึง 90% ของรถทั้งหมดในประเทศ มีภาษีเพิ่มขึ้นคันละประมาณ 100 กว่าบาทเท่านั้น ซึ่งจากเดิมเสียภาษีในอัตรา 2.5% ของราคาหน้าโรงงาน มาเสียภาษี 3% ของราคาขายปลีกหรือราคานำเข้า


ในส่วนของอัตราการจัดเก็บภาษีรถจักรยานยนต์รูปแบบใหม่มีตั้งแต่3%, 5%, 9%และ18%ตามการปล่อยCO2โดยหากผู้ประกอบการไม่มีการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีให้ปล่อยCO2ลดลงจะทำให้กรมสรรพสามิตเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นปี500-700ล้านบาท